รีวิว Infinix Note 40 Pro+ 5G

รีวิว Infinix NOTE 40 Pro+ 5G สมาร์ตโฟนพลังชาร์จ 100W ในราคาสุดคุ้ม พร้อมชาร์จไร้สาย จอโค้งสวย กล้อง 108MP ลำโพงเสียงดี เล่นเกมลื่น บนดีไซน์พรีเมียม ในราคาแค่ 11,999 บาท
 

เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา อีกหนึ่งแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ได้รับความนิยมในบ้านเราอย่าง Infinix ได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ใหม่ล่าสุดอย่าง Note 40 Series พร้อมกัน 2 รุ่น คือ Infinix Note 40 Pro และ Note 40 Pro+ 5G ซึ่งคราวนี้มากับดีไซน์ใหม่ที่ดูพรีเมียมยิ่งขึ้น พร้อมอัปเกรดคุณสมบัติภายในขึ้นมาแบบรอบด้าน สำหรับใครที่กำลังเล็งสมาร์ตโฟนรุ่นนี้อยู่ วันนี้พวกเราทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้นำรุ่นท็อปอย่าง Infinix Note 40 Pro+ 5G มารีวิวให้ได้ชมกันแล้วครับ

Infinix Note 40 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่นำเสนอจุดเด่นไม่เหมือนใครในเซกเมนต์ โดยมากับระบบชาร์จไวที่มีกำลังไฟมากถึง 100W และระบบชาร์จไร้สายแบบแม่เหล็ก ซึ่งปกติแล้วเราจะได้เห็นคุณสมบัตินี้ในสมาร์ตโฟนที่มีราคาหมื่นปลาย ๆ ขึ้นไป

นอกจากเรื่องเทคโนโลยีการชาร์จ คุณสมบัติในส่วนอื่น ๆ ก็นับว่าน่าสนใจเช่นกัน โดยมากับหน้าจอขอบโค้ง AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ที่รองรับระบบสี 10-bit และมีอัตราการรีเฟรช 120Hz เหมาะกับการดูหนัง และเล่นเกมเป็นอย่างยิ่ง พร้อมชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7020 พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 12GB และหน่วยความจำ ROM ขนาด 256GB จึงสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกรูปแบบ ส่วนชุดกล้องหลังมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว โดยมีความละเอียดสูงสุดที่ 108MP พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS กับเทคโนโลยีการซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียด (3x Lossless Super-Zoom) และกล้องหน้าที่มีความละเอียดสูงถึง 32MP แถมยังมากับราคาสุดคุ้มเพียงแค่ 11,999 บาทเท่านั้น

ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร การใช้งานจริงจะน่าประทับใจแค่ไหน เราไปติดตามกันต่อใน รีวิว Infinix Note 40 Pro+ 5G ได้เลยครับ

 

ดีไซน์ภายนอก และอุปกรณ์ภายในกล่อง

Infinix Note 40 Pro+ 5G มาในดีไซน์ตัวเครื่องที่มีความโค้งมน และให้ความรู้สึกที่พรีเมียมด้วยฝาหลังหนัง Vegan Leather สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็นสีเขียว Vintage Green ซึ่งตัดกับโมดูลกล้อง และเฟรมเครื่องสีทองเมทัลลิก มีกลิ่นอายของความเรโทร

ตัวเครื่องด้านหน้าเป็นจอแสดงผล AMOLED ขอบโค้ง 3 มิติ ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz โดยรองรับการแสดงผลสี 10-bit (1.07 พันล้านสี) และผ่านการรับรองแสงสีฟ้าต่ำจาก TUV Rheinland และครอบทับด้วยกระจกนิรภัย Gorilla Glass 5 โดยหน้าจอสามารถเร่งความสว่างได้สูงสุด 1,300 nits จึงสามารถสู้แสงแดดกลางแจ้งได้ค่อนข้างดี

ขอบจอทั้ง 2 ด้านจะโค้งรับกับเฟรมด้านข้างพอดี โดยขอบเครื่องมีความโค้ง 55 องศา ซึ่ง Infinix วิจัยมาแล้วว่าเป็นความโค้งที่กำลังถือสบายมือที่สุด ไม่คมจนเกินไป ส่วนกล้องหน้าเป็นกล้องแบบเจาะรูฝังใต้จอ โดยมีความละเอียดอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2

ชุดกล้องหลังเป็นกล้อง 3 ตัว และมีไฟแฟลชแบบวงแหวน ซึ่งเรียกว่าดีไซน์แบบ Active Halo อีกทั้งสามารถตั้งค่าให้กะพริบเมื่อมีสายโทรเข้า, การแจ้งเตือน, แสดงสถานะการชาร์จ และอื่น ๆ ได้ ทำให้เราไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อย ๆ โดยชุดกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ประกอบด้วย

กล้องหลัก (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.75, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4

ระบบเสียงของ Infinix Note 40 Pro+ 5G เป็นแบบสเตอริโอ จึงมีช่องลำโพงอยู่ที่ขอบด้านบน และด้านล่าง โดยมีแบรนด์เครื่องเสียง JBL เป็นผู้ปรับจูนให้ ขณะเดียวกัน ด้านบนยังมีเซนเซอร์อินฟราเรด (IR) สำหรับใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าแทนรีโมตอีกด้วย โดยสามารถใช้ได้ผ่านแอปพลิเคชัน Welife ซึ่งติดตั้งมาให้ตั้งแต่แกะกล่อง

ส่วนถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Dual-Slot ที่สามารถใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM ได้พร้อมกัน 2 ใบ แต่ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริม นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP53 ซึ่งสามารถป้องกันละอองน้ำได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะนำไปแช่น้ำ หรือตากฝนได้

สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานภายในกล่อง ประกอบด้วย

– เคสแม่เหล็ก MagCase
– กระจกกันรอยหน้าจอ (ต้องติดตั้งเอง ไม่ได้ติดตั้งมาให้จากโรงงาน)
– สติกเกอร์
– เข็มถอดถาดซิมการ์ด
– อแดปเตอร์ชาร์จแบบ 100W
– สาย USB-C
– แท่นชาร์จไร้สาย MagPad

เมื่อใส่ MagCase แล้วจะมีหน้าตาเป็นดังรูป

ส่วนแท่นชาร์จไร้สาย สามารถใช้ร่วมกับอแดปเตอร์ และสายชาร์จที่แถมมาในกล่องได้เลย

แท่นชาร์จจะดูดติดกับเคสด้วยแม่เหล็กค่อนข้างแน่นหนา สามารถหยิบมือถือขึ้นมาใช้ได้โดยไม่ทำให้การชาร์จขาดตอน

 

ระบบชาร์จไว 100W แรงเต็มพิกัด

ระบบชาร์จถือว่าเป็นจุดเด่นของ Infinix Note 40 Pro+ 5G โดยมากับระบบชาร์จ All-Round Fast Charge 2.0 ที่มีกำลังไฟสูงสุดถึง 100W นับว่าเป็นสมาร์ตโฟนราคาไม่เกิน 12,000 บาทรุ่นแรก และรุ่นเดียวในตลาดไทย ณ เวลานี้ที่ให้ชาร์จไวมาถึง 100W

นอกเหนือจากชาร์จไว 100W แล้ว Infinix Note 40 Pro+ 5G ยังเป็นสมาร์ตโฟนเพียงไม่กี่รุ่นในเรทราคานี้ที่รองรับการชาร์จไร้สาย โดยรองรับที่ระดับ 20W แถมยังมีเคสแม่เหล็ก MagCase กับแท่นชาร์จ MagPad แถมมาให้ด้วย เรียกว่าซื้อครั้งเดียวได้ครบเซ็ต พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องไปวุ่นวายหาซื้อแยกเลย

 

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของระบบชาร์จใน Infinix Note 40 Pro+ 5G คือชิป Cheetah X1 สำหรับควบคุม และจัดการระบบชาร์จโดยเฉพาะ โดยจะคอยควบคุมการจ่ายพลังงานอย่างเหมาะสม และป้องกันอันตรายจากความร้อน หรือกระแสไฟเกิน พร้อมทั้งปลดล็อกฟังก์ชันการชาร์จอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยมีโหมดการชาร์จ 2 แบบ คือ โหมดชาร์จแบบอัจฉริยะ ที่ AI จะคำนวณการจ่ายพลังงานให้การชาร์จรวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด กับโหมดการชาร์จอุณหภูมิต่ำ ที่จะลดกระแสไฟลงเพื่อลดอุณหภูมิแบตเตอรี่ ช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น แต่จะชาร์จช้าลง

นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกการชาร์จอื่น ๆ อีก เช่น

– การชาร์จย้อนกลับแบบไร้สาย สามารถใช้ Infinix Note 40 Pro+ 5G ชาร์จสมาร์ตโฟนเครื่องอื่น หรือแก็ดเจ็ตอื่น ๆ ที่รองรับการชาร์จไร้สายได้ โดยนำไปวางไว้บนฝาหลังของ Infinix Note 40 Pro+ 5G  สามารถปิดฟีเจอร์นี้ได้หากไม่ต้องการใช้งาน
– การป้องกันการชาร์จด้วย AI หากเปิดใช้งาน AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานสมาร์ตโฟนของเราในแต่ละวัน และปรับการชาร์จให้เหมาะสม โดยจะล็อกการชาร์จไว้ที่ 80% เมื่อชาร์จทิ้งไว้เป็นเวลานานเพื่อถนอมแบตเตอรี่ เหมาะสำหรับการชาร์จในเวลากลางคืน
การชาร์จแบบบายพาส (Bypass Charge 2.0) เป็นโหมดการชาร์จที่จะจ่ายกระแสไฟเข้าเมนบอร์ดโดยตรง ไม่ผ่านตัวแบตเตอรี่ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเล่นไปชาร์จไป การจ่ายไฟตรงเข้าเมนบอร์ดจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ และลดความร้อนของตัวเครื่องได้

จากการทดสอบจริง การชาร์จแบบเต็มสปีด 100W จะใช้เวลาชาร์จจาก 8-100% แค่ประมาณ 45 นาที ซึ่งนับว่าเร็วจริง สมคำร่ำลือ


ประสิทธิภาพการทำงานทั่วไป

ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานทั่วไป Infinix Note 40 Pro+ 5G ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7020 5G ที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 6 นาโนเมตร ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่มีประสิทธิภาพสูงพอสมควร พร้อมด้วยหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4x ขนาด 12GB และ ROM แบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่ม Virsual RAM ได้อีกสูงสุด 12GB รวมเป็น 24GB

 

Infinix Note 40 Pro+ 5G ทำงานบนระบบปฎิบัติการ XOS 14 บนพื้นฐานของ Android 14 อินเทอร์เฟซมีการทำงานที่ลื่นไหล และค่อนข้างเสถียร โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการล็อกแอป, ซ่อนแอป และตู้แช่แข็งที่จะหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันในเบื้องหลัง รวมไปถึงการอัปเดต

 

สำหรับผล Benchmark บนแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark จะได้คะแนนรวมอยู่ที่ 451,509 คะแนน ส่วนผลจากแอปพลิเคชัน Geekbench 6 จะได้คะแนนอยู่ที่ 920 คะแนนสำหรับการประมวลผลแบบ Single-Core และ 2289 คะแนนสำหรับการประมวลผลแบบ Multi-Core

ทดสอบการเล่นเกม

ด้านการเล่นเกม Infinix Note 40 Pro+ 5G จะมีฟีเจอร์สนับสนุนการเล่นเกมที่เรียกว่า X-Arena และ XBOOST ซึ่งจะช่วยปรับการทำงานของตัวเครื่องขณะเล่นเกมให้มีความเสถียรยิ่งขึ้น พร้อมทั้งฟีเจอร์พื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการบล็อกการแจ้งเตือน, ล็อกความสว่างจอ, โหมดประสิทธิภาพ-โหมดประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการเปิดแอปอื่นขึ้นมาเป็นหน้าต่างลอย และสามารถตั้งค่าป้องกันการกดพลาดบริเวณขอบจอ, ปรับแต่งสีสันในเกม ไปจนถึงการตั้งค่าปุ่มปรับระดับเสียงเป็นปุ่มลัดได้ นับว่าตอบโจทย์ความต้องการของเกมเมอร์แบบครบถ้วน

 

สำหรับประสิทธิภาพการเล่นเกม เราทดสอบด้วยเกมยอดนิยมอย่าง PUBG Mobile และ RoV พบว่าทั้งสองเกมมีเฟรมเรตที่ลื่นไหล และนิ่งตลอดเกม แม้จะเป็นจังหวะที่หมุนมุมกล้องเร็ว ๆ หรือจังหวะเข้าบวกก็ไม่มีปัญหา การเล็งมีความแม่นยำตามสั่ง ไม่มีหลอน และตัวเครื่องแทบไม่มีความร้อนเลย อย่างไรก็ตาม ชิปเซ็ต Dimensity 7020 เป็นชิปเซ็ตระดับกลาง จึงไม่สามารถเปิดการตั้งค่ากราฟิกสูง ๆ ในบางเกมได้ โดยรวมนับว่าเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นหนึ่งที่เหมาะกับการเล่นเกมทั่ว ๆ ไป

การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

สำหรับการถ่ายภาพ กล้องตัวหลักด้านหลังมีความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 108MP และมีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ส่วนกล้องเสริมเป็นกล้อง Macro กับ Depth ความละเอียดตัวละ 2MP โดยรวมเป็นฮาร์ดแวร์กล้องที่กำลังดีในเรตราคานี้ ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 32MP ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงทีเดียว

การถ่ายภาพในโหมดอัตโนมัติ จะมีระบบปรับสีด้วย AI และสามารถซูมแบบไม่เสียรายละเอียดได้ 3 เท่า (3x Lossless Super-Zoom) ซึ่งคาดว่าเป็นการซูมแบบ In-Sensor โดยคุณภาพของรูปที่ได้จะใกล้เคียงกับการซูมด้วยเลนส์ (Optical) เป็นระยะการซูมที่มีโอกาสใช้บ่อย และเหมาะสำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีท

หรือถ้าใครเชี่ยวชาญด้านการถ่ายรูปอยู่แล้วก็มีโหมดโปรมาให้ใช้เช่นกัน

 

สำหรับโหมดภาพบุคคล จะมีเอฟเฟกต์บิวตี้ที่ปรับได้ทั้งใบหน้า และสัดส่วนร่างกาย ส่วนเอฟเฟกต์โบเก้จะเป็นการจำลองด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งสามารถปรับระดับความเบลอได้เช่นกัน และหากเป็นการถ่ายด้วยกล้องหน้า จะมีเอฟเฟกต์การแต่งหน้าให้เลือกใช้ด้วย

โหมดที่น่าสนใจคือโหมด SKY SHOP ที่สามารถเปลี่ยนท้องฟ้าได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้ายามเช้า, กลางวัน, ยามเย็น หรือใกล้ค่ำ การปรับแต่งดูแนบเนียนพอสมควร เป็นลูกเล่นที่ช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของรูปถ่ายได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องรีทัช

โหมดกลางคืน จะช่วยให้ภาพถ่ายเวลากลางคืนดูสว่าง และมีรายละเอียดมากขึ้น ที่สำคัญคือโหมดนี้ใช้งานกับกล้องหน้าได้ด้วย ทำให้สามารถถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้

สำหรับการถ่ายวิดีโอ สามารถทำได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K (30fps) ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดภาพบุคคล

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดมาโคร

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด SKY SHOP

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า


ระบบเสียงกระหึ่มสมจริงที่ผ่านการปรับจูนโดย JBL



หนึ่งในจุดเด่นของสมาร์ตโฟน Infinix คือระบบเสียงที่ปรับแต่งโดยแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำอย่าง JBL สำหรับ Infinix Note 40 Pro+ 5G รุ่นนี้ก็เช่นกัน ตัวลำโพงให้เนื้อเสียงคมชัดทุกย่าน โดยเฉพาะย่านเสียงกลาง และเสียงร้อง ส่วนเสียงเบสมีแรงกระแทกพอสมควรแต่ไม่มาก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วหากเทียบกับลำโพงสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ขณะเดียวกันยังมีเวทีเสียงกว้าง และแยกทิศทางของเสียงได้แม่นยำ เหมาะมากกับการดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม

 

ราคา และโปรโมชันของ Infinix Note 40 Pro+ 5G

Infinix NOTE 40 Pro+ 5G วางจำหน่ายในไทยแล้ววันนี้ โดยมีให้เลือก 2 สี คือ สีเขียว Vintage Green และสีดำ Obsidian Black ในราคา 11,999 บาท สามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านค้าทางการของ Infinix บน Shopee, Lazada และ TikTok รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

พร้อมโปรโมชันพิเศษระหว่างวันที่ 3-7 พฤษภาคม 2567 ได้แก่ รับสิทธิ์ซื้อในราคา 10,999 บาท (หลังใช้โค้ดส่วนลด), ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน, ผ่อนชำระผ่าน SPAYLater นานสูงสุด 6 เดือน นอกจากนี้ยังได้รับฟรี MagCase, MagPad และ Premium Gift box รวมมูลค่า 3,198 บาท (โค้ด และของแถมมีจำนวนจำกัด)

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Infinix Note 40 Pro+ 5G

หลังจากที่มีโอกาสได้ใช้งาน Infinix Note 40 Pro+ 5G เครื่องนี้มาระยะหนึ่ง ก็สามารถกล่าวได้ว่าสมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีจุดเด่นเฉพาะตัว และยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ความคุ้มค่าราคาประหยัดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะในด้านของคุณสมบัติ หรือประสบการณ์การใช้งาน

ดีไซน์ของ Infinix Note 40 Pro+ 5G ถือว่าสวยงามน่าใช้ งานประกอบมีคุณภาพ อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย เสถียร ตอบโจทย์การทำงานครบถ้วน ตัวเครื่องมีหน้าจอแสดงผลค่อนข้างใหญ่ โดยมีขนาด 6.78 นิ้ว เหมาะกับการเล่นเกม และดูหนัง แถมยังเป็นจอ AMOLED ทำให้มีสีสันสดใสกว่าจอ IPS ทั่วไป และยังเร่งความสว่างได้สูงสุด 1,300 nits จึงสามารถสู้แสงได้ดี ช่วยลดปัญหาเรื่องแสงสะท้อนในหน้าจอไปได้มากพอสมควร อีกทั้งหน้าจอแสดงผลยังเป็นดีไซน์แบบขอบโค้งที่ดูสวยหรูพรีเมียม

ระบบการชาร์จ ถือว่าเร็วที่สุดแล้วในกลุ่มสมาร์ตโฟนราคาไม่เกิน 12,000 บาท และไม่ใช่แค่ชาร์จเร็วอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ด้วยชิป Cheetah X1 ที่ควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้า และความร้อนแบบเรียลไทม์ รวมถึงโหมดการชาร์จแบบอื่น ๆ ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จแบบอุณหภูมิต่ำ หรือการชาร์จแบบบายพาสที่จ่ายไฟเข้าเมนบอร์ดโดยตรง ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานของคนทั่วไปได้อย่างตรงจุด

 

ยิ่งไปกว่านั้น Infinix Note 40 Pro+ 5G ยังรองรับระบบชาร์จเร็วแบบไร้สาย 20W ซึ่งแทบจะหาไม่ได้สำหรับสมาร์ตโฟนในเรตราคาเดียวกัน และยังแถมแท่นชาร์จ กับเคสแม่เหล็กมาให้ด้วย เรียกได้ว่า Infinix จัดให้ผู้ใช้อย่างเรา ๆ แบบเต็มที่ไม่มีกั๊กจริง ๆ

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Infinix Note 40 Pro+ 5G คือการเล่นเกม แม้สเปกจะไม่ถึงกับระดับเรือธง แต่ก็นับว่าทำได้ดีมากสำหรับสมาร์ตโฟนราคานี้ โดยสามารถเล่นเกมทั่วไปได้อย่างลื่นไหล, มีการตอบสนองต่อการควบคุมที่ดี และจัดการเรื่องความร้อนได้อย่างอยู่หมัด ขณะเดียวกัน ยังมีฟีเจอร์สนับสนุนการเล่นอย่าง XBOOST ที่ปรับแต่งได้หลากหลาย หากต้องการมือถือเล่นเกมราคาสุดคุ้ม Infinix Note 40 Pro+ 5G ก็เป็นหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

 

สำหรับการถ่ายภาพ Infinix Note 40 Pro+ 5G ทำได้ดีพอสมควร คุณภาพของรูปถ่ายโดยรวมค่อนข้างดี โดยเฉพาะเมื่อถ่ายกลางแจ้งภายใต้สภาพแสงที่พอเหมาะ การซูมแบบไม่เสียรายละเอียดที่ระยะ 3x มีคุณภาพสูง สามารถใช้งานได้จริง และช่วยให้การถ่ายรูปสะดวกขึ้นในหลายสถานการณ์

ส่วนการถ่ายรูปแนวพอร์ตเทรต สามารถแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้แม่นยำ เอฟเฟกต์การเบลอมีความเป็นธรรมชาติ และประมวลผลโทนสีผิวค่อนข้างตรงกับความเป็นจริง เอฟเฟกต์บิวตี้มีตัวเลือกการปรับแต่งหลากหลาย ตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงสัดส่วนของร่างกาย แต่สไตล์การตกแต่งจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า

อย่างไรก็ดี การถ่ายรูปของ Infinix Note 40 Pro+ 5G ยังขาดความหลากหลาย แม้กล้องหลักจะมีความละเอียดมากถึง 108MP แต่กล้องเสริมที่ให้มาเป็นกล้อง Macro และกล้อง Depth ทำให้ไม่มีตัวเลือกการถ่ายรูปแบบ Ultra Wide ซึ่งจริง ๆ แล้วกล้อง Ultra Wide น่าจะมีโอกาสได้ใช้งานมากกว่า Macro หรือ Depth นอกจากนี้ โหมด Macro ยังเก็บรายละเอียดของภาพได้ค่อนข้างน้อย และใช้งานค่อนข้างยาก เพราะไม่มีระบบ Autofocus

 

โดยรวมแล้ว กล่าวได้ว่า Infinix Note 40 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มีจุดเด่นด้านการชาร์จไว และการชาร์จไร้สาย และมีประสิทธิภาพที่โดดเด่นในด้านการเล่นเกม ในราคาที่ย่อมเยากว่าคู่แข่งในตลาด ใครกำลังมองหาสมาร์ตโฟนสเปกแรงครบเครื่องในราคาคุ้ม ๆ Infinix Note 40 Pro+ 5G ตอบโจทย์แน่นอนครับ

 

สรุปคุณสมบัติเด่นของ Infinix Note 40 Pro+ 5G

– ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ HyperSpeed และ Active Halo ที่มีความพรีเมียมโดดเด่นทันสมัย โดยสีเขียว Vintage Green จะเป็นฝาหนัง Vegan ส่วนสีดำ Obsidian Black จะเป็นฝาหลังผิวด้าน
– ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ และทนฝุ่น ตามมาตรฐาน IP53

——————————

– จอแสดงผลขอบโค้ง Flexible AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2436×1080 พิกเซล)
– อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
– อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัสสูงสุดที่ 1500Hz (Instant Touch Sampling Rate)
– แสดงผลสีได้ 1.07 พันล้านสี (10-bit)
– แสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
– ความสว่างสูงสุด 1,300 nits
– เทคโนโลยี 2160Hz High Frequency PWM Dimming สำหรับช่วยถนอมสายตาจากการกะพริบของหน้าจอ
– ค่า Contrast Ratio สูงสุดที่ 10,000,000:1 (Colour Contrast Rate)
– อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 93.60%
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
– ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5

——————————

– ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 7020
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) IMG BXM-8-256/Hyper Engine
– หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB
– ฟีเจอร์ Extended RAM สำหรับช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 12GB
– หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB
– ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 14 พร้อมครอบทับด้วย XOS 14
– รองรับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android 2 ปี และระบบความปลอดภัย 3 ปี

——————————

– แบตเตอรี่ความจุ 4,600 mAh
– ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 100W All-Round Fast Charge 2.0 พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จภายในกล่อง โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ภายในเวลา 19 นาที
– ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 20W พร้อมแท่นชาร์จไร้สายแบบแม่เหล็ก และ MagCase
– เทคโนโลยีการชาร์จแบบย้อนกลับ (ผ่านสาย และไร้สาย)
– เทคโนโลยีการชาร์จแบบ Bypass Charging 2.0

——————————

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย

กล้องหลัก (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.75, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4

พร้อมเทคโนโลยีการซูม 3 เท่าแบบไม่สูญเสียรายละเอียด (3X Lossless SuperZoom), รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K (30fps) และมีโหมดถ่ายแบบ FILM, VIDEO, AI CAM, PORTRAIT, SUPER NIGHT, AR SHOT, SHORT VIDEO, PRO, SLOW MOTION, DUAL VIDEO, PANORAMA, SUPER MACRO, DOCUMENTS, TIME-LAPSE และ SKY SHOP

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K (30 fps)

——————————

– ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมผ่านการปรับจูนโดย JBL
– รองรับระบบเสียง Hi-RES และ DTS
– รองรับ WIDVINE L1+
– เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 5, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
– รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual Nano-SIM)
– ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS และ A-GPS
– เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth และ NFC
– เซนเซอร์อินฟราเรด IR Blaster ที่สามารถประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
– พอร์ต USB Type-C
– วิทยุ FM ในตัว

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Infinix Note 40 Pro+ 5G

– ไม่มีกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide)
– ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
– ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร


วันที่ : 05/05/2024