รีวิว realme 11 Pro+ 5G

รีวิว realme 11 Pro+ 5G สมาร์ตโฟนกล้อง 200MP OIS SuperZOOM พร้อมจอ 120Hz Curved Vision พลังชาร์จ 100W และลำโพงคู่ Dolby Atmos บนบอดี้หนังดีไซน์หรู ในราคาไม่เกินเอื้อม


เปิดตัวมาได้สักพักแล้วสำหรับ realme 11 Pro+ 5G แต่ก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนในงบหมื่นกลาง ๆ ด้วยดีไซน์ที่สวยหรูพรีเมียม กับรายละเอียดอันประณีตอย่างที่เราเห็นได้ไม่บ่อยนักในสมาร์ตโฟนระดับกลาง ซึ่งมาพร้อมกับกล้องหลัง 200MP OIS SuperZoom ที่ซูมได้ไกล พร้อมรายละเอียดที่คมชัดโดยไม่ต้องอาศัยเลนส์ซูม รวมทั้งมากับจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision อันยอดเยี่ยมที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย, พลังชาร์จไว 100W SUPERVOOC, ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 ที่เร็วแรง, หน่วยความจำ RAM ขนาดใหญ่ 12GB ที่ขยายเพิ่มได้อีกเท่าตัวด้วยฟีเจอร์ Dynamic RAM, พื้นที่เก็บข้อมูล (ROM) จุใจ 512GB และลำโพงคู่ Dolby Atmos เรียกได้ว่าจัดคุณสมบัติมาให้แบบแน่น ๆ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยากเพียง 16,999 บาท

สำหรับใครที่กำลังเล็งที่จะจับจองเป็นเจ้าของ realme 11 Pro+ 5G รุ่นนี้อยู่ วันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้นำมารีวิวให้ชมกันก่อนจะตัดสินใจ ส่วนจะโดนใจอย่างที่คิดไว้หรือไม่ ไปติดตามกันได้เลยครับ


ดีไซน์ และรูปลักษณ์ภายนอกของ realme 11 Pro+ 5G

มาดูกันที่ฝาหลังกันก่อน โดยฝาหลังของ realme 11 Pro+ 5G นั้นจะหุ้มด้วยหนังเทียม Premium Vegan Leather (เฉพาะสี Sunrise Beige กับ Oasis Green) ซึ่งออกแบบโดย Matteo Menotto ดีไซน์เนอร์จากแบรนด์ GUCCI ที่มีการเก็บรายละเอียดรอยเย็บอย่างเรียบร้อยประณีตสวยงาม ด้วยเทคโนโลยีการทอแบบ 3D Woven Texture พร้อมตะเข็บแบบ 3D Conture-Level Seam ซึ่งดูแล้วให้อารมณ์คล้ายกับกระเป๋าสตางค์แบรนด์เนม แถมยังไม่ลื่นมือ และไม่เป็นคราบมันเวลาใช้งานอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเราจะได้เห็นดีไซน์แบบนี้ในสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียมแฟล็กชิป หรือรุ่นพิเศษราคาหลายหมื่นบาท อาจเรียกได้ว่า realme 11 Pro+ 5G เป็นรุ่นเดียวในตลาดตอนนี้เลยก็ว่าได้ที่ให้ดีไซน์พรีเมียมแบบนี้ในราคาแค่หมื่นกลาง ๆ

หน้าจอของ realme 11 Pro+ 5G เป็นจอขอบโค้งแบบ 120Hz Curved Vision Display (AMOLED) ขนาด 6.7 นิ้ว มีความละเอียดอยู่ที่ระดับ FHD+ (2412×1080 พิกเซล) และมีอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz พร้อมทั้งสามารถแสดงผลสีได้ถึง 1.07 พันล้านสี และมีกระจก Double-Reinforced Glass ความหนา 0.65 มิลลิเมตร ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงอีกชั้นหนึ่ง โดยรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ส่วนความโค้งของหน้าจอนั้นอยู่ที่ 61° ทำให้ไม่ต้องกลัวว่ามือจะลั่นไปโดนเวลาใช้งาน

นอกจากนี้ยังอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีการแสดงผลอีกหลายอย่าง ทั้งค่า Touch Sampling Rate สูงสุดที่ 1260Hz (แบบทันทีทันใด), เทคโนโลยี 16X HighPrecise Touch ที่ช่วยให้การสัมผัสมีความแม่นยำสูง, เทคโนโลยี X-Touch Anti-Mistouch Algorithm 2.0 ที่ช่วยป้องกันการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ, เทคโนโลยี 2160Hz High Frequency PWM Dimming ที่ช่วยลดการกะพริบของหน้าจอ เพื่อถนอมสายตาของผู้ใช้ พร้อมปรับความสว่างได้ถึง 20000 ระดับ, เทคโนโลยีการผลิตแบบ COP Ultra ที่ช่วยให้ขอบจอบางเฉียบเพียง 2.33 มิลลิเมตร และรองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+

ส่วนกล้องหน้าด้านบนจะเป็นแบบเจาะรูตรงกลาง โดยมีความละเอียดอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.45

ตัวเครื่อง realme 11 Pro+ 5G มีน้ำหนักอยู่ที่ 189 กรัม และมีความหนาประมาณ 8.7 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่ากำลังเหมาะมือ ไม่หนัก และไม่หนาจนเกินไป ถือง่าย พกพาคล่องตัว ใส่กระเป๋าสะดวก

ด้วยความที่ realme 11 Pro+ 5G มีลำโพงเสียงแบบคู่ (Super Linear Dual Speakers) พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ทำให้มีช่องลำโพงทั้งด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่อง โดยตัวพอร์ต USB-C กับช่องใส่ซิมการ์ดจะอยู่ด้านล่าง แต่จะไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

ถาดใส่ซิมของ realme 11 Pro+ 5G จะเป็นแบบ Dual-Slot สองหน้า ซึ่งรองรับการใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM ได้พร้อมกัน 2 ใบ แต่ไม่สามารถใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ ได้

ชุดกล้องหลังของ realme 11 Pro+ 5G จะเป็นฐานวงกลมขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้องถ่ายรูปแบบคลาสสิก โดยประกอบไปด้วยกล้อง 3 ตัวดังนี้

– กล้อง OIS SuperZoom ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom ขนาด 1/1.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.24 ไมครอน (16-in-1 Fusion Pixel), รูรับแสงขนาด f1.69, ทางยาวโฟกัส 22.9 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 85°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Super QPD, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 15.9 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 112°) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องก็จัดมาให้แบบครบครันเลยทีเดียว ซึ่งได้แก่อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 100W SUPERVOOC, สาย USB Type-C, เคสกันกระแทกแบบใส, ฟิล์มกันรอยที่ติดตั้งมาให้แล้ว, เข็มถอดถาดซิมการ์ด, คู่มือใช้งานแบบด่วน และใบรับประกัน

 

เจาะซอฟต์แวร์ กับฟีเจอร์ที่น่าสนใจ และการใช้งานทั่วไป


realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกับระบปฏิบัติการ Android 13 ที่ถูกครอบทับด้วย realme UI 4.0 โดยตัว UI/UX มีดีไซน์ที่สะอาดตาในสไตล์ Flat Art ดูทันสมัยน่าใช้งาน และทำความเข้าใจได้ไม่ยากแม้จะไม่เคยใช้สมาร์ตโฟนของ realme มาก่อนก็ตาม ส่วนชิปเซ็ตประมวลผลจะเป็น MediaTek Dimensity 7050 และมีหน่วยความจำ RAM ขนาด 12GB

ในส่วนของการปรับแต่งทั่วไป สามารถปรับได้อิสระทั้งภาพพื้นหลัง, การจัดเรียงไอคอนบนหน้าจอ, การแก้ไขรูปทรงของไอคอน และอื่น ๆ โดยมีโหมดมืด และตัวเลือกในการปรับอัตราการรีเฟรชระหว่าง 60Hz-120Hz



หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับสีวิดีโอ (SDR-to-HDR) ที่ช่วยเพิ่มขอบเขตการแสดงสีสันให้กว้างขึ้น แสดงสีได้มากขึ้น แต่จะรองรับเฉพาะแค่บางแอปพลิเคชันเท่านั้น

และยังสามารถตรวจสอบสุขภาพของแบตเตอรี่ได้ด้วย ช่วยให้เราประเมินได้ง่ายขึ้นว่าแบตเตอรี่ของเราเริ่มเสื่อมไปถึงระดับไหน และควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้หรือยัง

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Dynamic RAM พร้อมเทคโนโลยี Dash Memory Engine ที่สามารถเพิ่ม Virtual RAM ได้อีกสูงสุด 12GB ซึ่งเมื่อรวมกับ RAM ที่มีติดเครื่องอยู่แล้ว 12GB ก็จะได้ RAM รวมในระบบมากถึง 24GB เลยทีเดียว แต่จริง ๆ แล้ว RAM 12GB ในเครื่องก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว ดังนั้นเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเปิดใช้ฟีเจอร์นี้เลยก็ได้

ส่วนการใช้งานทั่วไปนั้นนับว่าลื่นไหลหายห่วง เท่าที่ทดลองใช้งานมายังไม่เคยมีอาการกระตุก, ค้าง หรือแอปเด้งออกแต่อย่างใด ประสบการณ์การใช้งานโดยรวมจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ๆ

จากการตรวจสอบข้อมูลทางเทคนิคด้วยแอปพลิเคชัน realme 11 Pro+ 5G ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 ซึ่งมาพร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G68 MC4 และ RAM LPDDR4X ขนาด 12GB

ทั้งนี้ ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 ก็คือชิปเซ็ต Dimensity 1080 ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อจัดระเบียบลำดับชั้นของชิปเซ็ตตระกูล Dimensity ใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น จึงมีคุณสมบัติ และประสิทธิภาพเหมือนกันทุกประการ

ส่วนเซนเซอร์ใน realme 11 Pro+ 5G จะประกอบด้วยเซนเซอร์ Magnetic Induction, Light, Proximity, Gyro-Meter, Acceleration และ In-display Fingerprint นอกจากนี้ยังมีเซนเซอร์อ่าน NFC แบบ 360 องศา ซึ่งไม่ได้แสดงในหน้าแอป

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ (Benchmark) ของ realme 11 Pro+ 5G ด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench 6 และ AnTuTu จะได้ผลออกมาดังนี้

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 552663 คะแนน

 

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6.1 ก็พบว่าได้คะแนนของการประมวลผลแบบ Single-Core ที่ 941 คะแนน และแบบ Mulit-Core ที่ 2329 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพการเล่นเกม

ในส่วนของการเล่นเกม realme 11 Pro+ 5G จะมีฟีเจอร์ช่วยเหลือระหว่างเล่นเกมมาให้ ซึ่งจะช่วยปิดการแจ้งเตือนและการโทรไม่ให้เด้งขึ้นมารบกวนขณะเล่น, เช็คความเสถียรของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต, ปิดจอปล่อยบอทเพื่อประหยัดแบต, แสดงค่า FPS ของเกมแบบ Real-Time และอื่น ๆ

ในส่วนการเล่นเกมนั้น เราเลือกทดสอบด้วยเกมที่มีกราฟิกกลาง ๆ และได้รับความนิยมอย่าง PUBG Mobile โดยตั้งค่ากราฟิกไว้ที่ระดับ HD และเฟรมเรตระดับ Ultra ซึ่งก็สามารถเล่นได้แบบลื่น ๆ ที่ 30-40 FPS ตัวเกมมีการโหลดฉากค่อนข้างไว สามารถหมุนมุมกล้องไปมาอย่างรวดเร็วได้โดยไม่กระตุก ระบบสัมผัสมีการตอบสนองที่รวดเร็วแม่นยำ ส่วนขอบจอโค้งก็ไม่ได้ทำให้เกิดอาการลั่น หรือหลอนแต่อย่างใด โดยรวมแล้วนับว่าเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นหนึ่งที่เล่นเกมได้ดี

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไว

realme 11 Pro+ 5G มีแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh ซึ่งถือว่าไม่มากไม่น้อยสำหรับสมาร์ตโฟนในปัจจุบัน เมื่อรวมกับระบบการจัดการพลังงานที่ค่อนข้างดีของชิปเซ็ต Dimensity 7050 และ Realme UI ก็สามารถอยู่ได้ข้ามวันแบบสบาย ๆ เว้นแต่ว่าจะเล่นเกมติดต่อกันหลายชั่วโมงจริง ๆ

ส่วนระบบชาร์จไว 100W SUPERVOOC นั้นก็ถือว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน โดยสามารถชาร์จจนเต็ม 100% ได้ภายในเวลาเพียงแค่ประมาณ 26 นาที อีกทั้งยังมาพร้อมกับชิป SUPERVOOC-S Power Management ซึ่งช่วยให้มีประสิทธิภาพในการคายประจุสูงสุดที่ 99.5% จึงส่งผลให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ดังนั้นเรื่องแบตเตอรี่จึงไม่ต้องกังวลแม้แต่น้อย

 

การใช้งานด้านการถ่ายภาพ และวิดีโอ

เรามาทวนคุณสมบัติของกล้อง realme 11 Pro+ 5G กันอีกสักรอบ โดยกล้องหลักที่ด้านหลังจะเป็นชุดกล้อง 3 ตัว ซึ่งประกอบไปด้วย

– กล้อง OIS SuperZoom ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom ขนาด 1/1.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.24 ไมครอน (16-in-1 Fusion Pixel), รูรับแสงขนาด f1.69, ทางยาวโฟกัส 22.9 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 85°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Super QPD, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 15.9 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 112°) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

ส่วนกล้องด้านหน้ามีความละเอียดอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.45 และมุมรับภาพ 90°


จากคุณสมบัติจะเห็นว่ากล้อง realme 11 Pro+ 5G นั้นไม่มีเลนส์ซูม Telephoto หรือ Periscope เลย แต่ทำไมถึงซูมแบบไม่เสียรายละเอียดได้? คำตอบก็คือ realme 11 Pro+ 5G ใช้ระบบ In-Sensor Zoom ซึ่งเป็นการขยายภาพจากบนตัวเซนเซอร์ และใช้อัลกอริธึมช่วยเพิ่มความคมชัดเสริมเข้าไปนั่นเอง

ตัวอย่างภาพข้างบนนี้คือการครอปภาพในจุดเดียวกันที่ระยะซูม 1x และ 4x ซึ่งจะเห็นว่าจุดที่ครอปออกมาที่ระยะซูม 4x มีความคมชัดกว่า นั้นหมายความว่าระบบ In-Sensor Zoom เป็นการซูมจริง ๆ ไม่ได้ครอปภาพมาเฉย ๆ อย่างแน่นอน และประสิทธิภาพก็เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการซูมด้วยเลนส์เลยทีเดียว

ในโหมดอัตโนมัติ เราสามารถเลือกเปิด AI แต่งภาพอัตโนมัติได้ที่เมนูด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีทางลัดการซูม 0.6x (Ultra-Wide), 1x, 2x, 4x หากต้องการซูมมากกว่านี้ สามารถแตะค้างไว้เพื่อเลือกระยะซูมเพิ่มเติมได้ โดยซูมได้สูงสุดที่ 20x แต่หลังจากระยะ 4x ขึ้นไปจะเป็นการซูมแบบดิจิทัล และจะเริ่มสูญเสียรายละเอียด นอกจากนี้ยังมีเอฟเฟกต์รีทัชใบหน้า และมีฟิลเตอร์ให้ใช้งาน ทำให้ถ่ายคนในโหมดนี้ได้ด้วย เพียงแต่จะไม่ได้เอฟเฟกต์ละลายหลังครับ

ส่วนโหมดรูปคน หรือโหมดพอร์ตเทรตจะมีฟิลเตอร์โบเก้แบบพิเศษคือ โบเก้แบบไดนามิก และ โบเก้แสงแฟลร์ ซึ่งจะแตกต่างกันตามตัวอย่างด้านล่าง:

 

โหมดการถ่ายรูปที่น่าสนใจของรุ่นนี้คือ โหมดท้องถนน หรือโหมดการถ่ายภาพแนวสตรีท โดยในโหมดนี้เราจะสามารถซูมไปที่วัตถุ หรือบุคคล ให้ได้ระยะที่เหมาะสมในทันทีเพียงแค่แตะไปยังจุดที่ต้องการ

โหมดกลางคืน หรือโหมด Nightscape จะเป็นโหมดสำหรับถ่ายรูปกลางคืน โดยจะเพิ่มความสว่างในจุดที่มืด และลดความจ้าของจุดที่สว่างให้ลงตัว ความพิเศษคือมีตัวเลือกแบบ Pro ที่ให้เราปรับค่าต่าง ๆ เองได้อย่างละเอียด และมีฟิลเตอร์ให้ใช้งานหลายแบบ

อีกโหมดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โหมดการเปิดความเร็วชัตเตอร์นาน หรือ Long Exposure ช่วยให้เราถ่ายภาพเส้นแสง, ภาพเงาคนเดินผ่าน หรือภาพที่มีความเป็นไดนามิกได้ง่าย ๆ ซึ่งเรามีตัวอย่างรูปถ่ายให้ดูกันในส่วนถัดไป

ส่วนโหมดมาโคร จะเป็นโหมดสำหรับถ่ายรายละเอียดเล็ก ๆ โดยมีระยะโฟกัสอยู่ที่ 4 เซนติเมตร และมีฟิลเตอร์ให้ใช้งานด้วย

สำหรับการถ่ายวิดีโอ จะมีระบบกันสั่นพิเศษทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง โดยกล้องหลังสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (30fps) ส่วนกล้องหน้าบันทึกได้สูงสุดที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (30fps)


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ realme 11 Pro+ 5G

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 0.6x (Ultra Wide)

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 1x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 2x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 4x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 10x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 20x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 0.6x (Ultra Wide)

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 1x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 2x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 4x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 10x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 20x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 1x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 2x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 4x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 1x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 2x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 4x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 10x

ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะ 20x

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Street Photography

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Long Exposure

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Macro

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้า

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน realme 11 Pro+ 5G

ความประทับใจแรกหลังจากที่ได้ใช้งาน realme 11 Pro+ 5G ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากดีไซน์ตัวเครื่องภายนอก ซึ่งต้องยอมรับว่าคราวนี้ realme ทำได้ดีจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุหนัง Premium Vegan Leather ที่มักจะพบเห็นได้ในสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม และการเลือกคู่สีของบอดี้เฟรม และวงแหวนบนโมดูลกล้องที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งรอยเย็บต่าง ๆ ก็ยังเก็บงานได้อย่างเรียบร้อยพิถีพิถัน ทั้งหมดนี้ทำให้ดีไซน์ของ realme 11 Pro+ 5G นั้นโดดเด่นกว่าสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นในตลาด และน่าใช้งานมาก ๆ

 

ซึ่งนอกจากดีไซน์ด้านหลังที่สวยหรูแล้ว สิ่งที่ช่วยเสริมให้ realme 11 Pro+ 5G รุ่นนี้ดูพรีเมียมมากขึ้นก็คือจอแสดงผลแบบ 120Hz Curved Vision Display ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว ซึ่งนอกจากจะมีขอบโค้งกำลังดีที่ 61° แล้ว ขอบหน้าจอก็ยังบางเฉียบเพียง 2.33 มิลลิเมตรอีกด้วย อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายดังที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้น ซึ่งเมื่อประกอบกับลำโพงเสียงแบบคู่พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos แล้ว ก็ช่วยให้สมาร์ตโฟนเครื่องนี้ตอบโจทย์ความบันเทิงได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ใคร

ด้านการถ่ายภาพ และการซูมซึ่งเป็นจุดขายของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ก็นับว่าไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีเลนส์สำหรับซูมโดยเฉพาะ แต่เทคโนโลยี In-Sensor Zoom ก็มีประสิทธิภาพที่สูงในระดับที่ไว้ใจได้ ซึ่งการซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดในระยะ 4x เป็นคุณสมบัติที่หายากมากในกลุ่มสมาร์ตโฟนที่มีราคาใกล้เคียงกัน ทำให้การถ่ายรูปมีความยืดหยุ่น และสนุกกว่า โดยเฉพาะการถ่ายรูปแนวสตรีทที่ต้องอาศัยการซูมหลาย ๆ ระยะ

หากพูดถึงแนวสตรีท realme 11 Pro+ 5G ก็มีโหมดถ่ายรูปแนวสตรีทมาให้โดยเฉพาะ ซึ่งนำความสามารถด้านการซูมมาใช้ประโยชน์ด้วยการซูมไปยังจุดที่สนใจอย่างรวดเร็ว แต่เท่าที่ได้ลองใช้งาน พบว่าไม่ค่อยได้ระยะซูมที่ต้องการเท่าไหร่ กดเลือกระยะซูมเองจะตรงใจกว่า แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสไตล์การถ่ายรูปของแต่ละคนด้วย

โปรไฟล์ภาพโดยทั่วไปของ realme 11 Pro+ 5G จะมีสีสันค่อนข้างนวล และมีโทนออกไปทางสีแดง ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน และอบอุ่น ทำให้ภาพถ่ายพอร์ตเทรตดูนุ่มนวลไปด้วย ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้หญิง หรือคนที่ชอบภาพที่มีอารมณ์แนวนี้

สำหรับโหมดลางคืนนั้น ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี แต่ยังไม่ถึงกับดีที่สุด เพราะบางครั้งภาพยังขาดความคมชัด และคุม Noise ได้ไม่ดีนัก แต่ถ้าเทียบกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นในระดับราคาเดียวกันแล้ว ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นอย่างการถ่ายเส้นแสงเส้นไฟ และการเปิดรูรับแสงค้าง (Long Exposure) จึงมีความหลากหลาย และถ่ายรูปสนุก

อย่างไรก็ตาม โหมดมาโครยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งในแง่ของความคมชัด และสี และยังมี Noise ค่อนข้างมาก ดังนั้นก็แนะนำให้ถ่ายกลางแจ้งในวันที่มีแดดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

ในส่วนของประสิทธิภาพการใช้งานทั่วไป realme 11 Pro+ 5G ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่การใช้งานทั่วไป ไปจนถึงด้านความบันเทิงต่าง ๆ การประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 กับ RAM 12GB ก็มีความลื่นไหลฉับไว ไม่มีอาการกระตุก, หน่วง หรือค้าง ส่วนแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ก็สามารถใช้งานข้ามวันได้แบบสบาย ๆ นอกจากนี้ระบบชาร์จไว 100W SUPERVOOC ก็ยังเร็วมากอีกด้วย นั้นคือชาร์จเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เต็ม 100% แล้ว

 

จากทั้งหมดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า realme 11 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มีดีไซน์สวยเกินราคา พร้อมประสิทธิภาพการใช้งานที่ลื่นไหล และสามารถซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปโดยเฉพาะแนวสตรีท หรือคนที่ต้องการมือถือที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน ในราคาหมื่นกลาง ๆ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในรีวิวรุ่นต่อไป สวัสดีครับ

ราคา, โปรโมชัน และการวางจำหน่าย

สำหรับท่านใดที่สนใจ realme 11 Pro+ 5G (RAM 12GB+ROM 512GB) ก็มีราคาอยู่ที่ 16,999 บาท โดยสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ realme Brand Shop ทั้งช่องทาง Online, ช่องทาง Offline และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

โปรโมชันพิเศษ! ฉลองครบรอบ 5 ปี realme กับ 5th Anniversary Limited Edition realmeow เพียงซื้อสมาร์ตโฟน realme 11 Pro Series 5G และพูดโค้ดลับ "REALME LEAP UP!" ก็รับ realmeow ฟรี (1 ตัว ต่อ 1 ใบเสร็จ และ 1 บัตรประชาชน) สินค้ามีจำนวนจำกัด ที่ร้านที่ร่วมรายการ เฉพาะวันที่ 27 สิงหาคม 2566 นี้เท่านั้น

ท่านใดที่สนใจโปรโมชันนี้ สามารถแวะไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Com7 Fashion Island, IT CITY Seacon Square บางแค, TG The Mall งามวงศ์วาน, Jaymart Seacon Square ศรีนครินทร์, True Lotus นวนคร, Dtac Central ปิ่นเกล้า, Central Westgate, AIS Shop, Telewiz Shop, Future Park Rangsit, AIS Shop และ Telewiz Shop

 

สรุปคุณสมบัติ และจุดเด่นของ realme 11 Pro+ 5G

 

– ดีไซน์ด้านหลังตัวเครื่องแบบหนังเทียม (Premium Vegan Leather) (เฉพาะสี Sunrise Beige กับ Oasis Green)
– ลวดลายหนังลายลิ้นจี่ (เฉพาะสี Sunrise Beige กับ Oasis Green)
– มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก (Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black) (ประเทศไทยมีเฉพาะสี Sunrise Beige และ Oasis Green)
– เทคโนโลยีการทอแบบ 3D Woven Texture พร้อมตะเข็บแบบ 3D Conture-Level Seam
– ดีไซน์กล้องหลังได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้องคลาสสิก
– ขอบโค้ง 61° พร้อมขอบจอบาง 2.33 มิลลิเมตร

————————————

จอแสดงผลแบบ 120Hz Curved Vision Display (AMOLED) ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2412×1080 พิกเซล : 394 PPI)
– อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
– อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) ที่ 360Hz หรือสูงสุดที่ 1260Hz (แบบทันทีทันใด)
– เทคโนโลยี 16X HighPrecise Touch และ X-Touch Anti-Mistouch Algorithm 2.0
– เทคโนโลยี 2160Hz High Frequency PWM Dimming สำหรับช่วยถนอมสายตาจากการกะพริบของหน้าจอ
– แสดงผลสีได้ 1.07 พันล้านสี (10-bit)
– แสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
– ความสว่างสูงสุด 950 nits
– ค่า Contrast Ratio 5,000,000:1
– ปรับความสว่างได้ 20,000 ระดับ
– เทคโนโลยีประมวลผลภาพแบบ COP Ultra
– รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+
– ครอบทับด้วยกระจก Double-Reinforced Glass หนา 0.65 มิลลิเมตร
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor)

———————————–

– ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 5G (MT6877V)
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G68 MC4
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 12 GB
– ฟีเจอร์ Dynamic RAM สำหรับช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 12 GB
– หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) ขนาด 512 GB
– ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 4.0

———————————–

– แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh
– ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 100W SUPERVOOC Charge
– ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายในเวลา 26 นาที
– ชิปเซ็ต SUPERVOOC-S Power Management
– แถมอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 100W SUPERVOOC มาให้พร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน

———————————–

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

– กล้อง OIS SuperZoom ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom ขนาด 1/1.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.24 ไมครอน (16-in-1 Fusion Pixel), รูรับแสงขนาด f1.69, ทางยาวโฟกัส 22.9 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 85°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Super QPD, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 15.9 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 112°) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร

รวมทั้งมีระบบซูมแบบ 2X/4X In-Sensor Zoom, ระบบป้องกันการสั่นแบบ SuperOIS พร้อม 4-Axis Anti-Shake Algorithm, เทคโนโลยี HyperShot 2.0 และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (30 fps)

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.45, มุมรับภาพ 90° และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30 fps)

———————————–

– ลำโพงเสียงแบบคู่ (Super Linear Dual Speakers) พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
– ไมโครโฟน 2 ตัว พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน (Dual-Mic Noise Cancellation)
– เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
– รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
– เทคโนโลยี HyperSmart Antenna Switching 2.0
– เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2
– ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo, QZSS และ NavIC
– พอร์ต USB Type-C
– เทคโนโลยี Tactile Engine 2.0

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ realme 11 Pro+ 5G

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติม

 

– ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
– การถ่ายรูปโหมดมาโครยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
– ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร


โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต ดังนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *

 

วันที่ : 23/08/2023