รีวิว OPPO A58

รีวิว OPPO A58 สมาร์ตโฟนสายบันเทิงจอ Sunlight Display พร้อมพลังชาร์จ 33W, กล้อง AI 50MP, RAM 6+6GB และลำโพงคู่ดัง 300% ในราคา 6,299 บาท

ตลาดสมาร์ตโฟนราคาหลักพันเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในบ้านเรามาโดยตลอด ด้วยฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานที่ครบครัน ในราคาที่ใครก็เอื้อมถึงได้ไม่ยาก และแบรนด์หนึ่งที่ได้รับความนิยมในอันดับต้น ๆ เสมอมาก็คือ OPPO นั่นเอง จนล่าสุดก็ถึงคิวของรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO A58 ที่ออกมาเอาใจแฟน ๆ A Series ในประเทศไทยครับ

OPPO A58 มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "เต็มพิกัดทุกความบันเทิง" ที่เน้นตอบโจทย์ความบันเทิงโดยเฉพาะในราคาที่ย่อมเยา โดยมีฟีเจอร์พิเศษอย่างลำโพงคู่ระบบเสียงสเตอริโอที่เพิ่มความดังได้ถึง 300%, หน้าจอ FHD+ Sunlight Display ขนาดใหญ่ 6.72 นิ้ว ที่สู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดีขึ้น และแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่รองรับการใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC

ในเชิงประสิทธิภาพนั้น OPPO A58 มากับชิปเซ็ต MediaTek Helio G85 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลาง ทำงานคู่กับ RAM 6GB ที่ขยายเพิ่มได้อีก 6GB ผ่านระบบ RAM Expansion ช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB และรองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมด้วยการ์ด microSD ได้อีกสูงสุดถึง 1TB จึงสามารถเก็บบันทึกไฟล์ต่าง ๆ ได้อย่างจุใจ

สำหรับความสามารถด้านการถ่ายภาพก็ไม่น้อยหน้ารุ่นอื่นในระดับราคาเดียวกัน โดยมากับกล้องหลังคู่ AI ความละเอียด 50MP+2MP พร้อมเอฟเฟกต์รีทัชบิวตี้ และโหมดพอร์ตเทรตที่ใช้งานง่าย ถ่ายแล้วอัปขึ้นโซเชียลได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องแต่งรูปเพิ่มให้เสียเวลา

ซึ่งทั้งหมดข้างต้นนี้ OPPO A58 เปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของกันได้ในราคาเพียง 6,299 บาท เท่านั้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมกันต่อในรีวิว OPPO A58 ได้เลยครับ


เปิดกล่อง OPPO A58 พร้อมสำรวจอุปกรณ์ด้านใน

OPPO A58 จะมีดีไซน์ที่คล้ายกับ A Series รุ่นอื่น ๆ ในปัจจุบัน โดยเป็นดีไซน์กล้องหลังแบบวงแหวนคู่ หรือ Dual Ring และมีฝาหลังเป็นดีไซน์ OPPO Glow ที่เป็นผิวด้าน แต่มีความสะท้อนแสงสวยงาม ฝาหลังด้านข้างมีความโค้งมนเล็กน้อย เพื่อช่วยลดความคมของขอบตัวเครื่องด้านข้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ถือสบายมือขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ดีไซน์โดยรวมของตัวเครื่องดูเนียนตาขึ้นด้วย ส่วนสัมผัสการจับถือก็นับว่ากำลังดี และมีตัวเครื่องที่บางเบา โดยสีที่นำมารีวิวให้ชมกันในครั้งนี้คือ สีดำ Glowing Black (และมีอีกสีให้เลือกคือสีเขียว Dazzling Green)

นอกจากนี้ OPPO A58 ยังมีคุณสมบัติของการทนต่อน้ำกระเซ็นในระดับ IPX4 ด้วย ซึ่งช่วยได้ในสถานการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างน้ำหกใส่ หรือโดนน้ำกระเซ็นใส่ เป็นต้น

สำหรับกล้องหลังจะเป็นชุดกล้อง 2 ตัว โดยด้านบนเป็นกล้องหลักความละเอียด 50MP พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8 ส่วนวงล่างเป็นกล้อง Mono ความละเอียด 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และไฟแฟลช LED

ส่วนของตัวเครื่องด้านหน้าของ OPPO A58 จะเป็นหน้าจอขนาด 6.72 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400×1080) โดยเป็นจอแบบ LTPS LCD ที่มีความลึกสีระดับ 8-bit และมีเทคโนโลยี Sunlight Display ที่สามารถเพิ่มแสงหน้าจอได้สูงสุด 680 nits เพื่อให้ใช้งานกลางแจ้งได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนด้านบนเป็นกล้องหน้าแบบเจาะรูฝังใต้จอ ความละเอียด 8MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มล็อกหน้าจอซึ่งทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว และมีปุ่มปรับระดับเสียงอยู่คู่กัน ส่วนด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด

 

โดยถาดใส่ซิมการ์ดนั้นเป็นแบบ Triple Slot ซึ่งรองรับการใส่ 2 ซิมการ์ด (Nano SIM + Nano SIM) พร้อมการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD สูงสุด 1TB ได้ในเวลาเดียวกัน

ขอบด้านบนไม่มีโมดูลใด ๆ ส่วนขอบด้านล่างมีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนหลัก, ช่องลำโพง และพอร์ต USB-C ทั้งนี้ ระบบเสียงจะเป็นลำโพงแบบคู่ซึ่งเสียงจะออกทางช่องลำโพงด้านล่าง และช่องลำโพงสนทนาด้านบน

สำหรับอุปกรณ์ในตัวเครื่องจะมีเข็มถอดถาดซิมการ์ด, คู่มือการใช้งาน, ใบรับประกัน, เคสใส สาย USB-C และอแดปเตอร์ชาร์จไวแบบ 33W SUPERVOOC

คุณสมบัติในด้านฮาร์ดแวร์ และประสิทธิภาพในการทำงานทั่วไป

OPPO A58 ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio G85 เป็นหนึ่งในชิปเซ็ตระดับกลางยอดนิยม ส่วนหน่วยความจำ RAM จะเป็นแบบ LPDDR4X ตามมาตรฐานของสมาร์ตโฟนในปัจจุบัน แต่ ROM จะเป็นแบบ eMMC 5.1 ซึ่งอาจจะมีอัตราการอ่าน-เขียนไฟล์ไม่เร็วเท่ามาตรฐาน UFS แต่ก็เร็วพอที่จะตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น โดยรุ่นที่จำหน่ายในไทยจะมี RAM 6GB ส่วน ROM จะมีขนาดที่ 128GB

 

ด้านระบบปฏิบัติการจะเป็น ColorOS 13.1 ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 13 ทำงานเข้ากับชิปเซ็ต Helio G85 ได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น :

 

โคลนแอป : เล่นโซเชียลอย่าง Facebook หรือ LINE พร้อมกัน 2 บัญชีในเครื่องเดียว ด้วยการโคลนแอปพลิเคชันออกมาเป็น 2 ตัว ใช้ล็อกอินคนละบัญชีกันได้โดยไม่ต้องแยกไปใช้มือถืออีกเครื่องหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่มีบัญชีทำงาน และบัญชีส่วนตัวแยกกัน

 

– ซ่อนไฟล์/ล็อกไฟล์ : เพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วยฟังก์ชัน ซ่อน หรือล็อกแอปพลิเคชัน โดยจะต้องใส่รหัสผ่านทุกครั้งเพื่อเรียกดูแอปพลิเคชันที่ซ่อนอยู่ หรือเพื่อปลดล็อกแอปพลิเคชันมาใช้งาน
– ตู้เซฟ :
เก็บไฟล์สำคัญเอาไว้ให้มิดชิดด้วยระบบตู้เซฟไฟล์ทั้งหมดที่ถูกเก็บอยู่ในนี้จะไม่แสดงในหน้าระบบปกติ จะเข้าถึงได้ต้องยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านเท่านั้น

 

และที่ขาดไม่ได้สำหรับสมาร์ตโฟนยุคนี้คือระบบ RAM Expansion ที่เพิ่ม Virtual RAM ได้อีก 6GB รวมกันแล้วเป็น 12GB มีให้ใช้กันแบบเหลือเฟือแน่นอน ไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องช้าเพราะ RAM ไม่พอ

 

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 ก็พบว่าได้คะแนนการประมวลผลแบบ Single-Core ที่ 434 คะแนน และได้คะแนนการประมวลผลแบบ Multi-Core ที่ 1432 คะแนน

 

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 268917 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพด้านการเล่นเกม

สำหรับเกมที่เรานำมาทดสอบนั้นจะเป็นเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องไม่สูงมาก อย่าง Ragnarok Origin และเกมยอดนิยมอย่าง PUBG Mobile

 

สำหรับ Ragnarok Origin นั้นสามารถเปิดกราฟิกระดับ UHD ได้ แต่ภาพจะไม่ลื่นเท่าที่ควร หากต้องการเล่นให้สนุกจำเป็นต้องปรับเป็นระดับ SD ซึ่งจะได้ FPS มาประมาณ 20-30

 

ส่วน PUBG Mobile สามารถเล่นได้ลื่นพอสมควรบนการตั้งค่ากราฟิกระดับ HD โดยมีค่า FPS เฉลี่ยอยู่ที่ 30 แม้ว่าจะมีบางจังหวะที่ FPS ตกบ้าง แต่โดยรวมก็ยังเล่นได้แบบไม่หงุดหงิด ไม่มีอาการกระตุกเวลาหมุนมุมกล้องเร็ว ๆ และมีการควบคุมที่ตอบสนองฉับไว แม่นยำ ไว้ใจได้

เรื่องความร้อนเรียกได้ว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะตัวชิปเซ็ต Helio G85 ไม่ใช่ชิปเซ็ตที่แรงดุเดือดอยู่แล้ว จึงกินพลังงานไม่มาก ต่อให้เล่นเกมหนักก็ยังแค่รู้สึกอุ่น ๆ นิดหน่อย โดยรวมถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่เหมาะกับการเล่นเกมแก้เบื่อระหว่างวัน มากกว่าที่จะเล่นแบบซีเรียสจริงจังครับ

 

สำหรับฟีเจอร์ช่วยเล่นเกม HYPERBOOST Game Engine ที่ติดมาด้วยนั้น จะคล้ายกับของแบรนด์อื่น ๆ โดยมีโหมดเพิ่มความแรงในการเล่นเกม (ใช้ชื่อว่าโหมดโปรแกรมเมอร์) ซึ่งระบบจะให้ความสำคัญกับการประมวลผลเกมเป็นอันดับแรก และโหมดประหยัดพลังงานที่เน้นการเล่นเกมแบบมาราธอน รวมไปถึงการปล่อยเล่นแบบปิดจอสำหรับเปิดบอทฟาร์มของ, ล็อกความสว่าง, ดูสถานะ CPU/GPU/FPS, และอื่น ๆ ซึ่งจัดว่าครบครันครับ

 

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC

ขึ้นชื่อว่า OPPO เรื่องชาร์จไวต้องมาก่อนอยู่แล้ว ซึ่ง OPPO A58 รุ่นนี้มีระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC ซึ่งจากการทดสอบชาร์จจริงด้วยการชาร์จจาก 2%-100% พบว่าใช้ไปเวลาไปทั้งหมด 79 นาที ถือว่าเร็วพอสมควรสำหรับการชาร์จระหว่างวัน

ส่วนเรื่องความอึดของแบตเตอรี่ จากการทดสอบเล่นเกมประมาณ 1 ชั่วโมง พบว่าแบตเตอรี่ลดลงไปประมาณ 15% ซึ่งความอึดระดับนี้สามารถใช้งานทั้งวันได้แบบสบาย ๆ ครับ

 

การถ่ายภาพ และวิดีโอ

กล้องหลักที่ด้านหลังของ OPPO A58 เป็นชุดกล้องคู่ (AI Dual Camera) ซึ่งประกอบไปด้วย

– กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 75.5°, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89.1° และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

ส่วนกล้องด้านหน้านั้นมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, มุมรับภาพ 80° และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30fps) เช่นเดียวกับกล้องหลัง

 

จากลักษณะของชุดกล้อง OPPO A58 จะเหมาะกับการถ่ายรูปทั่วไป และแนวพอร์ตเทรต โดยยังคงมีระบบ AI Portrait Retouching มาช่วยในการเบลอฉากหลัง และปรับแต่งภาพ โหมดการถ่ายภาพมีไม่มากนัก แต่มีโหมดหลัก ๆ อยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นโหมดพอร์ตเทรต, โหมดกลางคืน, พาโนรามา ไปจนถึงโหมดโปร อีกทั้งยังมีฟิลเตอร์แต่งภาพให้เลือกใช้หลากหลาย และเปิดใช้เอฟเฟกต์ AI Retouching ในโหมดอัตโนมัติได้

 

โปรไฟล์ภาพถ่ายจากกล้องของ OPPO A58 จะมีโทนที่นุ่มนวล โดยมีคอนทราสต์ไม่จัดจ้าน, สีสันไม่อิ่มเกินไป และดูสว่าง ให้อารมณ์ที่อ่อนหวานตามแบบฉบับของ OPPO

สำหรับการบันทึกวิดีโอ ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง สามารถบันทึกที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD ด้วยเฟรมเรตสูงสุด 30fps

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง และกล้องหน้าของ OPPO A58

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดพอร์ตเทรต

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้า

 

ราคา, โปรโมชัน และการวางจำหน่าย

OPPO A58 มาพร้อม 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเขียว Dazzling Green และ สีดำ Glowing Black วางจำหน่ายในราคา 6,299 บาท สามารถไปทดลองสัมผัส หรือเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน OPPO A58

หลังจากที่มีโอกาสได้ใช้งาน OPPO A58 มาระยะหนึ่ง ก็สามารถบอกได้ว่านี่คือสมาร์ตโฟนราคาย่อมเยาที่ยังคงสืบทอดเอกลักษณ์ความเป็น A Series เอาไว้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของดีไซน์, ระบบชาร์จไว, คุณสมบัติการทำงาน ไปจนถึงการถ่ายภาพ หากใครที่ชอบสมาร์ตโฟน OPPO A Series อยู่แล้ว ก็จะรู้สึกถูกชะตากับ OPPO A58 ได้ไม่ยากครับ

ในส่วนของดีไซน์นั้น ยังคงเน้นความอ่อนโยน และมีสไตล์เช่นเดิม ด้วยเทคโนโลยีการผลิตฝาหลังแบบ OPPO Glow ที่เป็นผิวด้านแต่สะท้อนแสงได้ นอกจากจะดูสวยงามแล้ว ยังช่วยลดคราบมัน หรือลายนิ้วมือเมื่อใช้งานได้ และยังมีรายละเอียดเล็ก ๆ ตรงบริเวณขอบฝาหลังที่มีความโค้งมนเล็กน้อย (เรียกว่าดีไซน์ 3D Micro-Curved) ช่วยลดความคมของขอบตัวเครื่องที่เป็นสันแบน ช่วยให้ความรู้สึกขณะถือใช้งานสมูทมากขึ้น

สำหรับหน้าจอแสดงผล OPPO A58 มีหน้าจอ LTPS LCD ขนาด 6.72 นิ้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่ จึงใช้ดูหนัง และเล่นเกมได้แบบเต็มตา ไม่อึดอัด และเป็นจอ Sunlight Display ที่สามารถเร่งแสงสู้แดดกลางแจ้งได้ ช่วยให้ใช้งานสะดวกขึ้น ไม่ต้องหรี่ตามองเหมือนที่ผ่าน ๆ มา อย่างไรก็ดี หน้าจอของ OPPO A58 จะมีอัตราการรีเฟรชแค่ 60Hz ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้งานเท่าไหร่ครับ

 

ด้านประสิทธิภาพ และการทำงานทั่วไป OPPO A58 ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G85 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตยอดนิยมในกลุ่มมือถือราคาประหยัด ประสิทธิภาพจัดว่าแรงคุ้มราคา สามารถรับมือกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ทุกประเภท และเล่นเกมทั่ว ๆ ไปได้ ส่วนหน่วยความจำ RAM ขนาด 6GB ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานอยู่แล้ว แต่ถ้ากลัวว่าจะไม่พอจริง ๆ ก็ยังมี RAM Expansion ที่ช่วยเพิ่ม Virtual RAM ได้อีก 6GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน (ROM) ขนาด 128GB นั้น ถือว่าพอจะเก็บไฟล์ และแอปพลิเคชันได้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป หรือมีแอปพลิเคชันเยอะอาจจะไม่ค่อยพอ ซึ่งก็สามารถใส่การ์ด microSD เพิ่มได้ 1TB ครับ

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ OPPO A58 คือลำโพงคู่ระบบเสียงแบบสเตอริโอ และระบบเสียง Ultra Volume ที่เพิ่มความดังได้สูงสุด 300% เรียกได้ว่าไม่ต้องต่อลำโพงช่วยเลย จึงเป็นสมาร์ตโฟนที่เหมาะกับการดูหนังฟังเพลง ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม

ส่วนระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC ที่เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้เร็วเหมือน A Series รุ่นบน ๆ แต่ก็ถือว่าเร็วพอสมควรหากเทียบกับมือถือรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน ด้วยเวลาชาร์จเต็ม 100% ประมาณ 80 นาที สามารถหาจังหวะชาร์จระหว่างวันได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่จริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้ใช้งานหนักจริง ๆ แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ข้ามวันแบบสบาย ๆ ดังนั้นเรื่องการชาร์จจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลครับ

 

ด้านการถ่ายภาพทั่วไป OPPO A58 จะมีโปรไฟล์ภาพที่ดูนุ่มนวล สว่าง และมีคอนทราสต์ไม่จัด ซึ่งเป็นสไตล์ของ OPPO อยู่แล้ว เหมาะสำหรับคนที่ชอบสไตล์ภาพถ่ายที่ดูอ่อนหวาน แต่เพราะไม่มีกล้อง Ultra Wide ทำให้ไม่ค่อยเหมาะกับการถ่ายภาพทิวทัศน์ (Landscape) จึงเหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปทั่วไป และรูปพอร์ตเทรตภายใต้แสงธรรมชาติมากกว่า

โหมดพอร์ตเทรตของ OPPO A58 นั้น น่าเสียดายที่ไม่มีลูกเล่นอย่างเอฟเฟกต์ Bokeh Flare หรือเอฟเฟกต์รีทัช มีเพียงฟิลเตอร์ให้ใช้งานเท่านั้น แต่ทั้งนี้ระบบก็มีการรีทัชผิวให้แบบบาง ๆ โดยอัตโนมัติ และให้เอฟเฟกต์ละลายหลังที่ดี จัดว่ายังถ่ายพอร์ตเทรตสวยอยู่แม้จะไม่ค่อยมีลูกเล่นก็ตาม

สำหรับโหมดกลางคืนถือว่าทำได้ดีทีเดียว โดยสามารถเฉลี่ยจุดสว่าง-จุดมืดได้ดี ไม่ค่อยมี Noise และให้รายละเอียดที่คมชัด นับว่าเป็นมือถือระดับกลางที่ทำคะแนนในจุดนี้ได้ดีอีกรุ่นหนึ่ง

และสำหรับกล้องหน้านั้น ให้ความละเอียดมาที่ 8MP มีเอฟเฟกต์รีทัชให้ใช้งาน และถ่ายแบบละลายหลังได้ แต่จะไม่มีระบบ HDR ทำให้การถ่ายย้อนแสงให้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าเป็นการถ่ายเซลฟี่กลางแจ้งที่มีแสงพอเหมาะ ก็ถือว่าถ่ายสวยพอสมควร สามารถนำไปอวดในโซเชียลได้ครับ

 

จากทั้งหมดที่กล่าวมา โดยรวมแล้ว OPPO A58 นับเป็นสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป รวมทั้งด้านความบันเทิง หรือการดูหนังฟังเพลง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ระบบเสียงสเตอริโอที่เร่งเสียงได้ดังกระหึ่ม พร้อมฟีเจอร์อื่น ๆ ครบครันอย่างระบบชาร์จไว และการถ่ายรูปที่ค่อนข้างดี ในราคาที่จับต้องได้ง่ายเพียง 6,299 บาท หากท่านใดสนใจก็สามารถแวะไปลองสัมผัส หรือจับจองเป็นเจ้าของได้แล้วที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในรีวิวต่อต่อไป สวัสดีครับ

สรุปคุณสมบัติเด่นของ OPPO A58

 

– จอแสดงผลแบบ FHD+ Sunlight Display (LTPS LCD) ขนาด 6.72 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400×1080 พิกเซล : 391 PPI)
– อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 180Hz
– ความสว่างสูงสุด 680 nits
– รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3 และ sRGB ได้ 100%

————————

– ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio G85
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G52 MC2
– หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 6 GB
– ระบบ RAM Expansion สำหรับช่วยขยายขนาด RAM ด้วย ROM (Virtual RAM) เพิ่มเติมได้สูงสุด 6 GB
– หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ eMMC 5.1 ขนาด 128 GB
– รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 1 TB
– แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh
– ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W SUPERVOOC
– ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 13.1

————————

กล้องตัวหลักด้านหลัง 2 ตัว (AI Dual Camera) ประกอบด้วย

– กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 75.5°, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89.1° และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

รวมทั้งรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (1920×1080 พิกเซล : 30 fps)

กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, มุมรับภาพ 80° และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (1920×1080 พิกเซล : 30 fps)

————————

– ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำในระดับ IPX4 (ทนต่อน้ำกระเซ็น)
– ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Stereo Speakers)
– ฟีเจอร์ Ultra Volume Mode ที่ช่วยให้เพิ่มระดับเสียงได้สูงสุด 300% (ลำโพง) หรือ 200% (หูฟัง)
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Side Mounted Fingerprint Sensor) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
– เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 5, 4G LTE, 3G WCDMA, 2G EDGE/GPRS
– รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM) บนถาดแบบ Triple Slot
– เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
– ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
– พอร์ต USB Type-C
– พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ OPPO A58

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติม

– ไม่มีกล้อง Ultra Wide
– ไม่รองรับการใช้งานร่วมกับเครือข่าย 5G
– จอแสดงผลมีอัตราการรีเฟรชในระดับมาตรฐานที่ 60Hz


โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *

 

วันที่ : 18/08/2023