รีวิว OPPO Reno10 5G | OPPO Reno10 Pro 5G รีวิว OPPO Reno10 5G | Reno10 Pro 5G ครั้งแรกของสมาร์ตโฟนระดับกลางกล้อง Telephoto Portrait บนดีไซน์ใหม่แบบ 3D Dual Curved พร้อมจอโค้ง 120Hz พันล้านสี และชาร์จไวสูงสุด 80W ในราคาเอื้อมถึง

ช่วงปีที่ผ่านมา OPPO (ประเทศไทย) ได้มีการเปิดตัว และวางจำหน่ายสมาร์ตโฟน OPPO Reno8 Series อย่างเป็นทางการ เรียกว่าเป็นตัวเลือกของสมาร์ตโฟนระดับกลางที่น่าสนใจไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็น Reno8 T 5G หรือ OPPO Reno8 Z 5G แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างกลับไม่มีวี่แววของ Reno9 Series ที่เปิดตัวในประเทศจีนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วแต่อย่างใด กระทั่งล่าสุด OPPO (ประเทศไทย) ก็ได้เซอร์ไพรส์ชาวไทยด้วยการเปิดตัว OPPO Reno10 Series 5G และในวันนี้ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ตัวจริงเสียงจริงก็มาอยู่ในมือของทีมงาน Thaimobilecenter แล้วครับ

OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G รุ่นใหม่นี้ยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็น Reno Series เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยดีไซน์ที่สวยเด่นสะดุดตา, คุณสมบัติที่ตอบโจทย์การทำงานได้ทุกรูปแบบ และความสามารถด้านการถ่ายรูปพอร์ตเทรตที่โดดเด่นเช่นเคย แต่มีการต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหากเทียบกับ Reno8 Series ที่วางขายในบ้านเราไปก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าดีขึ้นอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

 

จุดเด่นอย่างแรกคือดีไซน์ภายนอกของทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ที่เป็นดีไซน์แบบ 3D Dual-Curved ซึ่งมีความโค้งมนรับกับหน้าจอขอบโค้งแบบ 3D Curved AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ได้อย่างลงตัว พร้อมกับฝาหลังผิวด้านสะท้อนแสงแบบ OPPO Glow ที่เราคุ้นเคย

จุดเด่นต่อมาของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G คือกล้อง Telephoto Portrait Camera ความละเอียด 32MP ที่ซูมแบบ Optical ได้ 2 เท่า ทำให้ได้ระยะการถ่ายภาพบุคคลที่เหมาะที่สุด พร้อมรายละเอียดที่คมชัด นับเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางเพียงไม่กี่รุ่นที่สามารถทำแบบนี้ได้

และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสมาร์ทโฟน OPPO คือระบบชาร์จไว SUPERVOOC ซึ่งในฝั่งของ OPPO Reno10 5G จะเป็นแบบ 67W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh ได้จนเต็มภายในเวลา 47 นาที ส่วน OPPO Reno10 Pro 5G จะอัปเกรดเป็น 80W SUPERVOOC และยังมากับชิปจัดการพลังงาน SUPERVOOC S รุ่นแรกในวงการอีกด้วย

โดยรวมแล้วความแตกต่างหลัก ๆ ของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็จะอยู่ที่ชิปเซ็ตประมวลผล, กล้องหลักด้านหลัง, ความจุของแบตเตอรี่ และระบบชาร์จไวนั่นเอง

เมื่อได้ทราบข้อมูลในภาพรวมกันไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมกันต่อในรีวิว OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G โดยทีมงาน Thaimobilecenter ได้เลยครับ

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับการถ่ายภาพ และวิดีโอ

สำหรับชุดกล้องด้านหลัง หลัก ๆ แล้วแม้จะเป็นชุดกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่คุณสมบัติของกล้องหลัก โดยแต่ละรุ่นจะมีรายละเอียดดังนี้

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ของ OPPO Reno10 5G ประกอบด้วย

– กล้อง Ultra-Clear Main ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 81°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Telephoto Portrait ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 49°), ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112° และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์

————————————

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ของ OPPO Reno10 Pro 5G ประกอบด้วย

– กล้อง Ultra-Clear Main ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX890 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84.4°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Closed-Loop, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Telephoto Portrait ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 49°), ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112° และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์

จุดเด่นของกล้อง OPPP Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G คือการถ่ายรูปแนวพอร์ตเทรต หรือภาพบุคคล ด้วยระยะการซูม 2 เท่า ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลมากที่สุด โดยมีเอฟเฟกต์รีทัช (บิวตี้) และเอฟเฟกต์การเบลอฉากหลังในรูปแบบต่าง ๆ ให้เลือกใช้ได้หลายรูปแบบตามที่ต้องการ

 

สำหรับเอฟเฟกต์โบเก้ที่น่าสนใจคือ AI Color Portrait ที่จะดูดสีของฉากหลังออก และ Bokeh Flare Portrait ที่จะทำให้ฉากหลังมีดวงไฟขึ้นมาได้แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องตั้งค่าอะไรให้ยุ่งยากแม้แต่น้อย

ส่วนโหมดอื่น ๆ จะเป็นโหมดการถ่ายภาพทั่วไป เช่น โหมดกลางคืน, โหมดโปร หรือโหมดพาโนรามา เป็นต้น

สำหรับการบันทึกวิดีโอ กล้องหลังสามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30fps) แต่หากเปิดระบบกันสั่นด้วยจะได้ความละเอียดสูงสุดที่ 1080P FHD ส่วนกล้องหน้าถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD เหมือนกันทั้งสองรุ่น อย่างไรก็ดี OPPO Reno10 Pro 5G จะพิเศษกว่าตรงที่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ติดตั้งมาให้ด้วย

ส่วนกล้องหน้าของทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G นั้น ถึงจะมีความละเอียด 32MP เท่ากัน แต่เป็นเซนเซอร์คนละตัว โดยกล้องของ Reno10 Pro 5G จะดูสว่างกว่า แต่คุณภาพของรูปถ่ายที่ออกมาถือว่าใกล้เคียงกัน

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของกล้องหน้า OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G คือระบบโฟกัสอัตโนมัติ (Autofocus) ที่จะจับโฟกัสใบหน้าของเราโดยอัตโนมัติ ทำให้หน้าไม่เบลอ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ดีมาก ๆ เพราะสมาร์ตโฟนในระดับราคานี้มักจะไม่ใส่มาให้

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ OPPO Reno10 5G

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดพอร์ตเทรต

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ ด้วยระยะซูม 0.6x-5x

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้า


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ OPPO Reno10 Pro 5G

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดพอร์ตเทรต

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ ด้วยระยะซูม 0.6x – 5x



ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้า

 

ตัวเครื่องโฉมใหม่แบบ 3D Curved โค้งทั้งหน้าหลัง พร้อมกล้องดีไซน์ Laser-Centric

OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มีดีไซน์ภายนอกที่เหมือนกัน เน้นความบางเบา และความโค้งมน โดยเป็นดีไซน์ที่เรียกว่า 3D Dual-Curved ที่มีขอบโค้งด้านหลังรับกับขอบโค้งของจอ 3D Curved AMOLED ด้านหน้า ถือใช้งานได้อย่างกระชับมือ และให้ความรู้สึกที่พรีเมียมกว่า ส่วนฝาหลังเป็นผิวด้านสะท้อนแสงแบบ OPPO Glow พร้อมดีไซน์ชุดกล้องหลังแบบใหม่ที่เรียกว่า Laser-Centric Camera Matrix โดยรุ่นที่เรานำมารีวิวให้ชมกันนี้เป็น OPPO Reno10 5G สีฟ้า Ice Blue กับ OPPO Reno10 Pro 5G สีเทา Silvery Grey

สำหรับสีของแต่ละรุ่นที่มีจำหน่ายในไทยจะมีดังนี้ครับ

 

OPPO Reno10 5G มี 2 สีมาตรฐานให้เลือกได้แก่ สีฟ้า Ice Blue และ สีเทา Silvery Grey

 

OPPO Reno10 Pro 5G มี 2 สีมาตรฐานให้เลือกได้แก่ สีเทา Silvery Grey และสีม่วง Glossy Purple 

จอขอบโค้ง 3D Curved AMOLED พันล้านสี พร้อมความลื่นระดับ 120Hz

หน้าจอแสดงผลของทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกัน โดยเป็นจอขอบโค้งแบบ AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2412×1080) อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และครอบทับด้วยกระจกนิรภัย AGC Dragontrail Star 2 จากญี่ปุ่น รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และมีความสว่างสูงสุด 950 nits (ขณะดู HDR Photo หรือคอนเทนต์ HDR10+)

กล้องหน้าของทั้งสองรุ่นจะเป็นแบบเจาะรู (Punch Hole) แต่เซนเซอร์ที่ใช้จะต่างกัน โดยกล้องหน้าของ OPPO Reno10 5G จะเป็นเซนเซอร์ OmniVision OV32C ความละเอียด 32MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 ในขณะที่ OPPO Reno10 Pro 5G จะเป็นเซนเซอร์ Sony IMX709 ความละเอียด 32MP พร้อมรูรับแสงขนาด f.24 ตัวเดียวกับกล้อง Telephoto ด้านหลัง

ทั้งสองรุ่นมีตัวเครื่องขนาดพอดีมือ โดยมีน้ำหนักประมาณ 185 กรัม และมีความหนาประมาณ 7.99 มิลลิเมตร (OPPO Reno10 Pro 5G จะบางกว่าเล็กน้อยที่ 7.89 มิลลิเมตร)

ความพิเศษคือที่ขอบเครื่องด้านบนจะมีเซนเซอร์อินฟราเรด (IR Blaster) ทำให้สามารถใช้เป็นรีโมตควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วย โดยจะต้องใช้กับแอปพลิเคชัน IR Remote ซึ่งมีติดตั้งมาให้แล้วในเครื่อง

ในด้านของ OPPO Reno10 5G นั้นรองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 2TB แต่สำหรับ OPPO Reno10 Pro 5G นั้นจะไม่รองรับ

 

ประสิทธิภาพสำหรับการทำงานทั่วไป และการเล่นเกม

เริ่มกันที่รุ่นมาตรฐานอย่าง OPPO Reno10 5G กันก่อน สำหรับรุ่นนี้จะใช้ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 7050 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ เป็นชิปที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตรที่มากับหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G68 MC4 และมีโมเด็ม 5G ในตัว ตัวชิปเซ็ตมีความแรงพอสมควร สามารถเล่นเกมทั่วไปได้แบบสบาย ๆ และไม่มีปัญหาด้านความร้อน

ส่วน OPPO Reno10 Pro 5G จะใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 778G 5G ซึ่งนับว่าเป็นชิปตัวเกือบท็อปของระดับกลาง แต่เปิดตัวมาแล้วกว่า 2 ปี พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 642L เรื่องประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าสูงกว่า MediaTek Dimensity 7050 เล็กน้อย สามารถเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ตอบสนองได้ฉับไวไม่แพ้กัน

ซึ่งจากการทดสอบเบื้องต้น OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มีประสิทธิภาพด้านการเล่นเกมที่ใกล้เคียงกันมาก แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างการเล่นจริง ดังนั้นหากต้องการเล่นเกมเป็นหลัก การเลือก OPPO Reno10 5G รุ่นธรรมดาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

ส่วนเรื่อง RAM กับความจุภายในนั้น เรียกได้ว่าหายห่วง เพราะให้ RAM มา 8GB หรือ 12GB แถมยังมีระบบ RAM  Expansion เพิ่ม RAM เสมือนได้อีกสูงสุด 8GB จึงไม่ต้องกลัวเลยว่าใช้ไปสักพักแล้ว RAM จะไม่พอ ส่วนหน่วยความจำ ROM ที่ให้มาก็มีถึง 256GB ซึ่งถือว่ามากพอสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน และสำหรับ OPPO Reno10 5G รุ่นธรรมดานั้นก็ยังสามารถใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD เพิ่มได้อีกสูงสุดถึง 2TB เลยทีเดียว

สำหรับระบบเสียงของ OPPO Reno10 5G นั้นจะเป็นลำโพงคู่ซึ่งเสียงจะออกที่ช่องลำโพงด้านล่าง กับช่องลำโพงสนทนาด้านบน อย่างไรก็ดีลำโพงในด้านของ OPPO Reno10 Pro 5G นั้นจะเป็นลำโพงเดี่ยว ดังนั้นหากท่านใดเน้นอรรถรสด้านเสียงจากลำโพงมากเป็นพิเศษ OPPO Reno10 5G ก็จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ Ultra Volume ที่ช่วยเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นได้สูงสุด 200%

 

ต่อมาเมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผล และการทำงานโดยรวมของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็จะได้ผลทดสอบดังนี้

OPPO Reno10 5G

Geekbench 6 : Single-Core 951 คะแนน / Multi-Core 2,378 คะแนน
AnTuTu Benchmark : 492,376 คะแนน

 

OPPO Reno10 Pro 5G

Geekbench 6 : Single-Core 1015 คะแนน / Multi-Core 2,800 คะแนน
AnTuTu Benchmark : 575,958 คะแนน

 

ซอฟต์แวร์ และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

OPPO Reno10 5G ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 โดยมี RAM 8GB และ ROM 256GB รวมทั้งสามารถขยาย Virtual RAM ด้วยฟีเจอร์ Extended RAM เพิ่มได้อีกสูงสุด 8GB

ส่วนในด้านของ OPPO Reno10 Pro 5G จะใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778G 5G โดยมี RAM 12GB และ ROM 256GB รวมทั้งสามารถขยาย Virtual RAM ด้วยฟีเจอร์ Extended RAM เพิ่มได้อีกสูงสุด 8GB เช่นกัน

โดยทั้งสองรุ่นทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 13.1 ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ Android 13 อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มีประโยชน์หลายฟีเจอร์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Multi-Screen Connect, IR Remote, Smart AOD, Auto Pixelate และอื่น ๆ

UI/UX มีดีไซน์ที่เรียบหรูตามแบบฉบับ OPPO ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้หลายส่วนไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของไอคอน, ขนาดตัวอักษร, ภาพพื้นหลัง, ธีม, วิดเจ็ต และคุณลักษณะปลีกย่อยอื่น ๆ อย่างโหมดถนอมสายตา, โหมดมืด และแอปจัดการทรัพยากรระบบ เป็นต้น

สำหรับฟีเจอร์ช่วย เล่นเกม HYPERBOOST Game Engine ที่ติดมาด้วยนั้น จะคล้ายกับของแบรนด์อื่น ๆ โดยมีโหมดเพิ่มความแรงในการเล่นเกม (ใช้ชื่อว่าโหมดโปรแกรมเมอร์) ซึ่งระบบจะให้ความสำคัญกับการประมวลผลเกมเป็นอันดับแรก และโหมดประหยัดพลังงานที่เน้นการเล่นเกมแบบมาราธอน รวมไปถึงการปล่อยเล่นแบบปิดจอสำหรับเปิดบอทฟาร์มของ, ล็อกความสว่าง, ดูสถานะ CPU/GPU/Fps, และอื่น ๆ ซึ่งจัดว่าครบครัน

 

พลังชาร์จสูงสุด 80W SUPERVOOC Flash Charge ชาร์จแค่ 10 นาที เติมแบตได้ 48%

เรื่องของแบตเตอรี่บนสมาร์ตโฟน OPPO ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของเทคโนโลยีด้านนี้ โดย OPPO Reno10 5G มากับแบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 67W SUPERVOOC ซึ่งจากการทดสอบชาร์จจริง สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 2-100% ได้ในเวลาประมาณ 55 นาที

ส่วน OPPO Reno10 Pro 5G มากับแบตเตอรี่ความจุ 4,600 mAh ซึ่งแม้จะเป็นความจุที่น้อยกว่า แต่ก็มีพลังชาร์จที่มากกว่า ด้วยเทคโนโลยี 80W SUPERVOOC ซึ่งตามข้อมูลคือเราชาร์จแค่ 10 นาที ก็สามารถเติมแบตเตอรี่ได้ถึง 48% แล้ว และจากการทดสอบชาร์จจริง ก็พบว่าสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 2-100% ได้ในเวลาเพียงแค่ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น

อีกทั้งทั้งสองรุ่นนั้นมีระบบการจัดการพลังงานค่อนข้างดี สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว

 

ราคา, โปรโมชัน และการวางจำหน่าย

ล่าสุดเย็นวันนี้ (19 กรกฎาคม 2566) ทาง OPPO (ประเทศไทย) ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวสมาร์ตโฟนในตระกูล OPPO Reno10 Series 5G อย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศราคาของทั้ง 3 รุ่นย่อยออกมาแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

OPPO Reno10 5G ราคา 13,990 บาท สั่งจองตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีของสมนาคุณรวมมูลค่า 6,499 บาท

 

OPPO Reno10 Pro 5G ราคา 17,990 บาท สั่งจองตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีของสมนาคุณรวมมูลค่า 9,698 บาท

 

OPPO Reno10 Pro+ 5G ราคา 27,990 บาท สั่งจองตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีของสมนาคุณรวมมูลค่า 12,698 บาท

 

ท่านที่สนใจก็สามารถแวะไปสอบถาม หรือสั่งจองได้ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

OPPO Enco Air3 Pro หูฟังไร้สายพรีเมียมใหม่ล่าสุด ในราคา 3 พันมีทอน

นอกจากวันนี้จะมีการเปิดตัว OPPO Reno10 Series 5G ในประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO Enco Air3 Pro มาเปิดตัวด้วยเช่นกัน

 

โดยเป็นหูฟังรุ่นพรีเมียมที่ใช้ไดอะแฟรมใยไผ่ธรรมชาติรุ่นแรกของโลก พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนที่ปรับได้ถึง 49dB, เสียงคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยี LDAC, ระบบเสียงรอบทิศทางด้วยเทคโนโลยี OPPO Alive Audio และ Bluetooth 5.3 ที่เร็วกว่าเสถียรกว่า

 

โดยหูฟังไร้สาย OPPO Enco Air3 Pro เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 2,999 บาท ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ

 

สรุปส่งท้าย OPPO Reno10 5G กับ OPPO Reno10 Pro 5G ต่างกันอย่างไร ใครเหมาะกับรุ่นไหน

จากการที่ทีมงานมีโอกาสได้ทดลองใช้ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มาได้สักพัก ก็สามารถบอกได้ว่าทั้งสองรุ่นต่างมอบประสบการณ์การใช้งานที่คล้ายกัน ด้วยการที่กำเนิดมาจาก DNA เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์, ความรู้สึกในการจับถือ, ประสิทธิภาพ และความสามารถด้านการถ่ายภาพ

เรื่องดีไซน์นั้นถือเป็นจุดเด่นของ OPPO อยู่แล้ว ซึ่งเอกลักษณ์ของ OPPO คือความโค้งมนทั้งด้านหน้า-ด้านหลังแบบ 3D Dual-Curved และสีสันการสะท้อนแสงที่โดดเด่นสะดุดตา ทำให้ตัวเครื่องดูพรีเมียมเกินราคา นอกจากนี้ยังดีไซน์ออกมาให้ตัวเครื่องบาง และมีน้ำหนักไม่มาก จึงจับถือใช้งานได้สะดวก สีสันมีให้เลือก 2 สไตล์ เหมาะกับการใช้งานทั้งชายหญิง เช่นผู้ชายก็สามารถเลือกสีดำมาตัดโทนความหวาน เพิ่มความสุขุมได้เช่นกัน

ด้านจอแสดงผลขอบโค้งแบบ 3D Curved AMOLED ก็ถือว่าเป็นอีกจุดขายที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับทั้ง 2 รุ่น เพราะนอกจากจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของความเป็นผลิตภัณฑ์พรีเมียมแล้ว คุณภาพของการแสดงผลก็ถือว่ายอดเยี่ยม ทั้งอัตราการรีเฟรชที่ลื่นไหลเนียนตาในระดับ 120Hz หรือการแสดงผลสีได้สวยสมจริงในระดับ 1.07 พันล้านสี (10-bit)

ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงาน ตั้งแต่การใช้งานทั่วไปจนถึงการเล่นเกม ทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดีทุกรูปแบบ เพราะคุณสมบัติด้านการประมวลผลที่ให้มาก็ถือว่าสูงพอสมควรสำหรับสมาร์ตโฟนระดับกลาง ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎี ชิปเซ็ต Snapdragon 778G ของ OPPO Reno10 Pro 5G จะแรงกว่า Dimensity 7050 อยู่เล็กน้อย แต่ในการใช้งานจริงเราแทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลย ดังนั้นในส่วนของประสิทธิภาพจึงไม่ได้ทิ้งกันมากเท่าไรนัก

 

ด้านการถ่ายภาพ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มีจุดเด่นอยู่ที่การถ่ายพอร์ตเทรต ด้วยกล้อง Telephoto Portrait ที่พัฒนามาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ด้วยระยะ 2x Optical Zoom ซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล โดยให้โทนผิวที่สวย เป็นธรรมชาติ และเอฟเฟกต์การละลายหลังต่าง ๆ ที่ใช้งานง่าย นับว่าเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่จะโดนใจคนที่ชอบถ่ายแนวพอร์ตเทรตแน่นอน นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดเป็นระบบ Autofocus ในกล้องหน้าอีก ด้วย ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากในกลุ่มสมาร์ตโฟนระดับกลาง

ถึงแม้ฟังก์ชันการถ่ายรูปต่าง ๆ จะเหมือนกัน แต่กล้องหลังของ OPPO Reno10 Pro 5G จะให้ภาพที่สวยกว่า สว่างกว่า และมีคุณภาพโดยรวมที่ดีกว่า เพราะใช้เซนเซอร์กล้องหลักเป็น Sony IMX890 ความละเอียด 50MP ที่มีระบบโฟกัส All Pixel Omni-Direction PDAF และระบบกันสั่นแบบ OIS ทำให้จับโฟกัสเร็วกว่า แม่นกว่า และคมกว่า และยิ่งเห็นความแตกต่างมากขึ้นเวลาถ่ายในโหมดกลางคืน โดยรวมแล้วกล้องของ OPPO Reno10 Pro 5G จะประมวลผลเร็วกว่า และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะชิปประมวลผลภาพ (ISP) บนตัวชิปเซ็ต Snapdragon 778G ด้วย

จุดเด่นอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ OPPO Reno10 5G กับ OPPO Reno10 Pro 5G เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางที่น่าใช้ คือระบบชาร์จไว SUPERVOOC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขึ้นชื่อของ OPPO อยู่แล้ว โดย OPPO Reno10 5G จะได้ชาร์จไว 67W ส่วน OPPO Reno10 Pro 5G จะได้ 80W ซึ่งในทรรศนะของทีมงานมองว่ามีความแตกต่างค่อนข้างมาก แม้ความจุแบตเตอรี่ของ OPPO Reno10 Pro 5G จะน้อยกว่าอยู่เล็กน้อยก็ตาม โดย OPPO Reno10 Pro 5G จะใช้เวลาชาร์จประมาณ 40 นาที ในขณะที่ OPPO Reno10 5G ใช้เวลาชาร์จราว 55 นาที แต่ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวก็ไม่แน่นอนเสียทีเดียวเพราะระยะเวลาในการชาร์จจริงขึ้น อยู่กับปัจจัยหลายอย่างครับ

 

โดยรวมแล้ว OPPO Reno10 5G กับ OPPO Reno10 Pro 5G นั้นต่างก็มีจุดขายสำคัญอยู่ที่การถ่ายภาพแนวพอร์ตเทรตด้วยกันทั้งคู่ เรียกว่าเลือกรุ่นไหนก็ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่แทบไม่ต่างกัน รวมทั้งมีดีไซน์ที่โค้งมนสวยหรูบางเฉียบน่าจับถือใช้งานด้วยกันทั้งคู่ แต่ถ้าต้องการชาร์จไวขึ้นอีกนิด และต้องการกล้องที่ดีขึ้นอีกหน่อย การขยับไปเป็น OPPO Reno10 Pro 5G ก็ถือว่าคุ้มค่าเงินเช่นกัน

สุดท้ายนี้นอกจาก OPPO Reno10 5G กับ OPPO Reno10 Pro 5G แล้ว ทาง OPPO (ประเทศไทย) ก็ยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกซึ่งเป็นรุ่นท็อปของตระกูล OPPO Reno10 Series 5G นั่นก็คือ OPPO Reno10 Pro+ 5G ซึ่งหากมีโอกาส เราก็จะนำมารีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันเพิ่มเติมอีกครั้งอย่างแน่นอน สำหรับวันนี้ก็ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

 

สรุปจุดเด่น และคุณสมบัติของ OPPO Reno10 5G

– ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ 3D Dual Curved
– ดีไซน์กล้องหลังแบบ Laser-Centric Camera Matrix
– มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก (Silvery Grey และ Ice Blue)

——————————–

– จอแสดงผลแบบ 3D Curved AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2412×1080 พิกเซล : 394 PPI)
– อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
– อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 240Hz
– แสดงผลสีได้ 1.07 พันล้านสี (10-bit)
– แสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 และ sRGB ได้ 100%
– ความสว่างสูงสุด 950 nits
– รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบ HDR10+
– ครอบทับด้วยกระจก AGC Dragontrail Star 2
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)

——————————-

– ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 (MT6877V)
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G68 MC4
– หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8 GB
– ฟีเจอร์ Extended RAM สำหรับช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 8 GB
– หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256 GB
– รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 2 TB
– ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 13.1

——————————-

– แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh
– ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 67W SUPERVOOC Flash Charge
– ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 31% ภายในเวลา 10 นาที

——————————-

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

– กล้อง Ultra-Clear Main ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 81°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Telephoto Portrait ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 49°), ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112° และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์

รวมทั้งมีระบบซูมแบบ 2x Hybrid Optical Zoom, 20x Digital Zoom, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K UHD (3840×2160 พิกเซล : 30 fps) และระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS (Electronic Image Stabilization)

กล้องด้านหน้าแบบ Ultra-Clear Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพ OmniVision OV32C ขนาด 1/3.2 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 89°), รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (1920×1080 พิกเซล : 30 fps) และฟังก์ชัน Video Anti-Shake (1080P FHD : 30 fps)

——————————-

– เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
– เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
– ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
– พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Stereo Speakers)
– ฟีเจอร์ Multi-Screen Connect, IR Remote Control, Smart AOD, Auto Pixelate และ Dynamic Computing Engine

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) โดยละเอียด และราคา ของ OPPO Reno10 5G

 

สรุปจุดเด่น และคุณสมบัติของ OPPO Reno10 Pro 5G


– ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ 3D Dual Curved
– ดีไซน์กล้องหลังแบบ Laser-Centric Camera Matrix
– มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก (Silvery Grey และ Glossy Purple)

——————————–

– จอแสดงผลแบบ 3D Curved AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2412×1080 พิกเซล : 394 PPI)
– อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
– อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 240Hz
– แสดงผลสีได้ 1.07 พันล้านสี (10-bit)
– แสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 และ sRGB ได้ 100%
– ความสว่างสูงสุด 950 nits
– รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบ HDR10+
– ครอบทับด้วยกระจก AGC Dragontrail Star 2
– เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)

——————————-

– ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778G 5G (SM7325)
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 642L
– หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12 GB
– ฟีเจอร์ Extended RAM สำหรับช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 8 GB
– หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256 GB
– ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 13.1

——————————-

– แบตเตอรี่ความจุ 4600 mAh
– ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 80W SUPERVOOC Flash Charge
– ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 48% ภายในเวลา 10 นาที

——————————-

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

– กล้อง Ultra-Clear Main ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX890 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84.4°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Closed-Loop, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Telephoto Portrait ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 49°), ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
– กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112° และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์

รวมทั้งมีระบบซูมแบบ 2x Hybrid Optical Zoom, 20x Digital Zoom, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K UHD (3840×2160 พิกเซล : 30 fps) และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS+EIS (Electronic Image Stabilization) (1080P FHD : 60 fps)

กล้องด้านหน้าแบบ Ultra-Clear Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 89°), รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (1920×1080 พิกเซล : 30 fps) และฟังก์ชัน Video Anti-Shake (1080P FHD : 30 fps)

——————————-

– เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
– เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
– ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
– พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
– ฟีเจอร์ Multi-Screen Connect, IR Remote Control, Smart AOD, Auto Pixelate และ Dynamic Computing Engine

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) โดยละเอียด และราคา ของ OPPO Reno10 Pro 5G

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติม

– ลำโพงเสียงแบบคู่มีเฉพาะในรุ่นธรรมดา ส่วนรุ่น Pro เป็นลำโพงเสียงแบบเดี่ยว
– รุ่น Pro ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
– กล้องหลักของรุ่นธรรมดาถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้ไม่ดีเท่ารุ่น Pro
– ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่น
– ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

 

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบอาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *

 

วันที่ : 19/07/2023