10 สิ่งประทับใจหลังใช้ Samsung Galaxy Buds FE หูฟัง AI ไร้เสียงรบกวน ใส่สบายหู แบตอึด 30 ชั่วโมง ในราคาคุ้มค่า

10 สิ่งประทับใจหลังใช้ Samsung Galaxy Buds FE หูฟัง AI ไร้เสียงรบกวน ใส่สบายหู แบตอึด 30 ชั่วโมง ในราคาคุ้มค่า

 

หนึ่งในความเซอร์ไพรส์ของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Samsung Galaxy ตระกูล FE (Fan Edition) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมานอกจาก Galaxy S23 FE, Galaxy Tab S9 FE และ Galaxy Tab S9 FE+ แล้ว ก็คือการเผยโฉมหูฟังไร้สาย (TWS) รุ่นแรกในตระกูล FE นั่นคือ Galaxy Buds FE ดังนั้นความน่าสนใจของหูฟังรุ่นนี้จึงไม่เหมือนหูฟัง Samsung รุ่นที่ผ่าน ๆ มา นั่นคือเป็นรุ่นที่เกิดมาเพื่อแฟน ๆ ซัมซุงโดยเฉพาะ ด้วยราคาที่คุ้มค่าเพียง 3,390 บาท บวกกับฟีเจอร์ที่ถูกคัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดี เพื่อให้ตรงใจแฟน ๆ มากที่สุด และผมเองก็มีโอกาสได้ลองใช้ Galaxy Buds FE มาพักใหญ่ วันนี้จึงขอนำเอาสิ่งที่ประทับใจในหูฟังรุ่นนี้ พร้อมจุดสังเกตบางอย่างมาแชร์ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ

 

ดีไซน์มินิมอล วัสดุพรีเมียม ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ไม่กลัวน้ำกระเซ็น

ที่อยากพูดถึงเป็นอย่างแรกก็คงเป็นเรื่องของดีไซน์ภายนอก โดยเมื่อได้เห็น Galaxy Buds FE เป็นครั้งแรกก็สัมผัสได้ถึงความเป็น Samsung เพราะเน้นความมินิมอลอันเป็นเอกลักษณ์แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะตัวเคสชาร์จเองที่ถอดแบบมาจาก Galaxy Buds2, Galaxy Buds2 Pro และ Galaxy Buds Live ในทุกมิติจนสามารถนำฝาเคสมาใส่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ อีกทั้งยังมีวัสดุที่พรีเมียมมันเงา ดูมีราคาไม่แพ้รุ่นใหญ่ แต่ก็มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือภายนอกของเคสชาร์จจะมีสีขาวเพียงสีเดียว ไม่ว่าเราจะเลือกซื้อหูฟังสี Graphite หรือสี Mystic White ก็ตาม อย่างหูฟังที่ผมใช้อยู่นี้แม้จะเป็นสี Graphite แต่ภายนอกของเคสชาร์จจะเป็นสีขาว ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเป็นสีเดียวกับตัวหูฟังก็น่าจะดูลงตัวมากกว่า

 

ส่วนตัวหูฟังเองเลือกใช้การผสมผสานของวัสดุผิวมันบริเวณที่เป็นเซนเซอร์ตรวจจับการสัมผัส ซึ่งเมื่อสัมผัสสั่งงานแล้วก็จะรู้สึกลื่นนิ้วเป็นอย่างดี กับวัสดุผิวด้านบริเวณรอบ ๆ ซึ่งเมื่อจับถือก็จะรู้สึกได้ว่ามีการยึดเกาะที่ดี

 

จุดเด่นอีกอย่างก็คือความเล็กกะทัดรัด และมีน้ำหนักเบา สามารถพกติดตัวไปไหนต่อไหนได้แบบไม่อึดอัด ด้วยน้ำหนักของหูฟังที่เบาเพียง 5.6 กรัมต่อข้าง กับน้ำหนักของเคสชาร์จที่เบาเพียง 40 กรัม

 

เรื่องความทนทานของการใช้งาน อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือตัวหูฟังเองจะสามารถทนน้ำได้ในระดับ IPX2 ซึ่งตามทฤษฏีคือทนต่อน้ำที่หยดลงมาด้วยมุมไม่เกิน 15° ในแนวดิ่ง ส่วนในชีวิตจริงนั่นคือเรามั่นใจได้ประมาณว่าเวลาใช้ออกกำลังกายแล้วมีเหงื่อ หรือเวลาอยู่ในที่กลางแจ้งแล้วมีฝนตกปรอย ๆ แต่หากหนักเกินกว่านี้ก็แนะนำให้เลี่ยงไว้ก่อน

 

สวมใส่แน่นกระชับ เข้ากับสรีระหู ดูไม่ยื่น ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย

สิ่งที่ชอบต่อมาก็คือการสวมใส่ แน่นอนว่าด้วยการที่พื้นฐานของ Galaxy Buds FE นั้นเป็นหูฟังแบบ In-Ear ดังนั้นเมื่อขยับให้เข้าที่ดีแล้ว ก็จะมีความกระชับแน่นหนา ไม่หลุดหล่นง่าย ๆ

 

โดยในกล่องจะมีจุกหูฟัง (Ear tips) มาให้เลือกใช้ 3 ขนาด (S, M และ L) ตามความเหมาะสมกับรูหูของแต่ละคน แต่หากต้องการความกระชับแน่นหนามากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ผมออกกำลังกาย ในกล่องก็จะมีตัวปีกหูฟัง (Wingtips) มาให้เลือกใช้ 2 ขนาด (S/M กับ M/L) ดังนั้นไม่ว่าการออกกำลังจะเกิดการเคลื่อนไหว หรือเกิดการสั่นสะเทือนแค่ไหน ผมก็มั่นใจได้ว่าหูฟังจะไม่หลุดหล่นจนทำให้การ Workout ต้องสะดุดกลางทางอย่างแน่นอน

 

นอกจากนี้บางทีผม รวมทั้งหลาย ๆ ท่านก็อาจจะยังไม่แน่ใจว่าเราเลือกใช้ขนาดของจุกหูฟังได้ตรงกับสรีระหูจริง ๆ แล้วหรือยัง ซึ่งปัญหานี้จะหมดไป เพราะเราทดสอบได้ด้วยฟังก์ชัน Earbud fit test ในแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable

 

อีกอย่างที่ชอบก็คือเวลาใส่ Galaxy Buds FE ออกไปเดินข้างนอกแล้วดูไม่สะดุดตาคนรอบข้างมากนัก เพราะหากมองในแนบตรง ตัวหูฟังเองจะไม่ยื่นออกมาเลยใบหู ซึ่งก็ช่วยให้มีความรู้สึกเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมทั้งเวลาไปออกงานที่มีความเป็นทางการ ก็จะยังดูมีความสุภาพอยู่พอสมควร

 

ตัดเสียงรบกวนเก่งด้วย AI อยู่ที่ไหนก็คุยชัดเสียงเคลียร์ เลือกรับเสียงรอบข้างได้

เรื่องความสามารถด้านการสนทนาก็ถือว่าเป็นอะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษใน Galaxy Buds FE รุ่นนี้ครับ เพราะด้วยราคาเท่านี้ แต่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีใกล้เคียงกับรุ่นแพง ๆ แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว ด้วยนวัตกรรมการตัดเสียงรบกวน ANC (Active Noise Cancellation) อันทรงพลังด้วยจุดเด่นอย่าง AI-Powered Clear Call ซึ่งมีเทคโนโลยีเบื้องหลังคือ DNN (Deep Neural Network) หรือ AI Learning ทำงานร่วมกับไมโครโฟน 3 ตัว (ไมค์หลัก, ไมค์รอง และไมค์ด้านใน) ที่ช่วยคัดกรองเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงลม, เสียงผู้คน, เสียงยานพาหนะ, เสียงเครื่องยนต์กลไก และอื่น ๆ ให้เสียงที่ปลายสาย และฝั่งเราได้ยินมีความชัดเจน สื่อสารกันได้เข้าใจไม่ตกหล่นในทุกถ้อยคำ

 

ซึ่งการใช้งานในสถานการณ์จริง ก็มีหลายกรณีที่ผมต้องอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังอื้ออึงอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่งก็คือตอนผมเดินอยู่ในฮอลล์งานแสดงสินค้างานหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการที่เป็นพื้นที่ปิด และมีผู้คนที่มาร่วมงานเดินขวักไขว่ไปมาอย่างหนาแน่น รวมทั้งบูธต่าง ๆ ก็มีกิจกรรมที่ต้องใช้เสียงดัง ๆ อยู่ตลอด ดังนั้นเสียงภายในจึงดังอื้ออึ้งตีรวนกันเป็นอย่างยิ่ง จนต่อให้พูดคุยกันแบบซึ่งหน้าก็ยังยากที่จะได้ยิน เรียกว่าสถานการณ์แบบนี้หูฟังหลาย ๆ รุ่นน่าจะเอาไม่อยู่ แต่สำหรับ Galaxy Buds FE รุ่นนี้ยังเอาอยู่ เพราะเสียงสนทนาที่ปลายสาย รวมถึงในของฝั่งของเราเองได้ยินยังคงมีความชัดเคลียร์ทุกถ้อยคำ หูฟังสามารถเลือกโฟกัสที่เสียงสนทนาได้ดีเยี่ยม แทบจะไม่มีเสียงรบกวนภายในงานแทรกเข้าไป ซึ่งเทคโนโลยีโฟกัสเสียงที่เข้ามามีบทบาทในการโฟกัสเสียงสนทนาก็คือ Personalized Beamforming ที่สามารถปรับระดับเสียงตามรูปแบบของการสวมใส่หูฟังได้ เพื่อการตรวจจับเสียงที่ดีที่สุด

 

และในบางกรณีที่เรายังต้องการได้ยินเสียงรอบข้างในขณะที่สนทนาอยู่เพื่อความเป็นธรรมชาติ หรืออยากได้ยินเสียงตัวเองด้วย เพราะบางทีเราอาจพูดเสียงดังเกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็สามารถเข้าไปเปิดตัวเลือก Use Ambient Sound During Calls ได้ หรือในขณะที่สวมใส่หูฟังอยู่ เราไม่อยากตัดขาดเสียงภายนอกมากจนเกินไป หรือเพื่อความปลอดภัย เราก็สามารถเปิดรับเสียงรอบข้างได้ โดยเลือกไปที่โหมด Ambient Sound

 

สลับการเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์ได้แบบไม่มีสะดุด

อีกเรื่องที่ชอบเมื่อได้ลองใช้งานดูก็คือตัวหูฟังเองสามารถสลับการเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์แต่ละตัวได้อย่างชาญฉลาดตามสถานการณ์ ด้วยฟีเจอร์ Auto Switch ที่รองรับการทำงานแบบไร้รอยต่อ (Seamless Connectivity) ซึ่งช่วยให้การใช้งานมีความต่อเนื่องไม่สะดุด เช่นในขณะที่ผมกำลังเปิดดูหนังบน Netflix หรือ Disney+ Hotstar ด้วย Galaxy Tab แล้วมีสายโทรเข้ามาที่สมาร์ตโฟนอีกเครื่อง ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะต้องเสียเวลาเลือกให้หูฟังไร้สายไปเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนก่อน ยิ่งถ้าหากเราวางสมาร์ตโฟนไว้ไกลตัวก็จะลำบากมากกว่าเดิม แต่ด้วยฟีเจอร์ Auto Switch ใน Galaxy Buds FE เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับตรงนี้ เพราะเมื่อมีสายโทรเข้า ระบบก็จะสลับให้หูฟังไปเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนแทนทันทีโดยอัตโนมัติเพื่อให้พร้อมสำหรับการสนทนา เรียกว่าตอบโจทย์การใช้งานเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ฟีเจอร์ Auto Switch นี้จะรองรับกับอุปกรณ์ของ Samsung ด้วยกันเท่านั้น

 

ส่วนการเชื่อมต่อครั้งแรกกับสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ตของ Samsung นั้นก็ง่ายจนเราแทบไม่ต้องทำอะไร เพราะเพียงแค่เปิดฝาเคสชาร์จขึ้นมาแล้วรอประมาณ 5 วินาที เครื่องก็จะตรวจเจอหูฟัง Galaxy Buds FE ได้เองโดยอัตโนมัติ จากนั้นเราก็กดเชื่อมต่อแล้วรอแค่อึดใจเดียว หูฟัง Galaxy Buds FE ก็พร้อมใช้งานแล้ว และการใช้งานครั้งต่อ ๆ ไป เราก็ไม่จำเป็นต้องมาเชื่อมต่อใหม่อีก

 

แบตเตอรี่อึดตลอดวัน สูงสุด 30 ชั่วโมง ใช้หนักแค่ไหนก็รับไหว

เดิมทีตอนแรกเมื่อได้เห็นข้อมูลระบุว่าแบตเตอรี่ของ Galaxy Buds FE นั้นใช้งานได้นานสูงสุดถึง 30 ชั่วโมง (กรณีปิดระบบ ANC หูฟังจะใช้งานได้ 8.5 ชั่วโมง รวมกับเคสชาร์จอีก 21.5 ชั่วโมง) ก็ยังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ว่าพอใช้งานจริงแล้วจะอึดทนขนาดนั้นหรือไม่ ซึ่งเมื่อทดสอบดูหลังจากชาร์จแบตเตอรี่หูฟังจนเต็มก็พบว่าใกล้เคียงกับที่ทาง Samsung เคลมไว้ ดังนั้นใครจะใช้ฟังยาว ๆ ทั้งวันก็หายห่วง แต่ในกรณีที่เราเปิดระบบ ANC เอาไว้ จะใช้งานได้นานสูงสุดที่ 21 ชั่วโมง (หูฟัง 6 ชั่วโมง + เคสชาร์จ 15 ชั่วโมง) ซึ่งก็ยังคงใช้ได้นานเพียงพออยู่ดี

 

แต่สำหรับการชาร์จ ต้องชาร์จผ่านพอร์ต USB-C เท่านั้น ไม่รองรับการชาร์จไร้สายแต่อย่างใด

 

ควบคุมง่ายด้วยระบบสัมผัส พร้อมการตอบสนองที่รวดเร็วแม่นยำ

สำหรับการควบคุมการทำงานของหูฟังก็นับว่าทำได้ง่าย ด้วยระบบสัมผัส ซึ่งมีการตอบสนองที่รวดเร็วแม่นยำ โดยเซนเซอร์ตรวจจับการสัมผัสจะอยู่ที่ด้านหลังของหูฟัง ซึ่งรองรับคำสั่งที่สำคัญ ๆ อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการแตะ 1 ครั้ง, แตะ 2 ครั้งติดกัน, แตะ 3 ครั้งติดกัน และแตะค้าง โดยมีค่าคำสั่งเริ่มต้นดังนี้

– แตะ 1 ครั้ง เพื่อสั่งเล่น (Play) หรือหยุดเล่นชั่วคราว (Pause)
– แตะ 2 ครั้งติดกัน เพื่อสั่งเล่นเพลง/วิดีโอถัดไป (Next) หรือเพื่อรับสาย/วางสาย
– แตะ 3 ครั้งติดกัน เพื่อสั่งย้อนกลับไปเพลง/วิดีโอก่อนหน้า (Previous)
– แตะค้างไว้ที่หูฟังด้านซ้าย เพื่อลดระดับเสียง หรือปฏิเสธการรับสาย
– แตะค้างไว้ที่หูฟังด้านขวา เพื่อเพิ่มระดับเสียง

 

แต่หากเราต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบของคำสั่งเหล่านี้ ก็สามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ในแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable

 

ดูหนังฟังเพลงได้อรรถรส เบสลึก กลางเด่น แหลมชัดใส เล่นเกมไม่ดีเลย์

แม้ดูเหมือนว่า Galaxy Buds FE จะเน้นจุดขายที่ระบบตัดเสียงรบกวน หรือการใช้งานด้านการสนทนาเป็นอันดับแรก ๆ แต่เมื่อผมได้ลองเอามาใช้งานด้านความบันเทิง ทั้งดูหนัง, ฟังเพลง และเล่นเกม ก็พบว่าทำได้ดีเลยทีเดียว ด้วยลำโพงแบบ 1 ทิศทางรุ่นใหม่ (New 1-Way Speaker) ที่ให้เสียงเบสกำลังดี ลงลึกเก็บตัวได้ไว มีมวลค่อนข้างหนา อาจจะไม่ถึงกับหนักหน่วง แต่ก็ฟังดูมีพลัง และไม่บวม ด้านเสียงกลาง เช่นเสียงร้อง, เสียงพูด หรือเสียงเครื่องดนตรี ก็ให้รายละเอียดที่ชัดเคลียร์ครบถ้วน ไม่หายไประหว่างเล่น ด้านเสียงสูง หรือเสียงแหลมก็ใสเคลียร์ฟังสบายหู แต่ในด้านเวทีเสียง (Soundstage) อาจจะไม่ได้กว้างมากนัก ด้วยการเป็นหูฟังแบบ In-Ear แต่ก็ฟังดูมีมิติชัดเจน โดยรวมแล้วเหมาะกับการฟังเพลงทุกแนว ไม่ได้โดดไปแนวใดแนวหนึ่ง รวมทั้งใช้ดูหนังได้อย่างสนุกมีอรรถรส

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเสียงเดิม ๆ แบบ Normal ยังไม่ถูกใจ เราก็ยังสามารถมาเลือกรูปแบบของอีควอไลเซอร์ได้เองอีก 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Bass Boost, Soft, Dynamic, Clear และ Treble Boost

 

เรื่องความหน่วง หรือการดีเลย์ของเสียง หากเป็นการดูหนัง หรือดูคลิป ไม่ว่าจะดูผ่าน YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar หรือบริการอื่น ๆ นั้นไม่รู้สึกถึงการดีเลย์แต่อย่างใด ภาพมาตอนไหน เสียงก็มาพร้อมกัน

 

ส่วนการเล่นเกม ก่อนที่จะเล่นแนะนำให้เข้าไปเปิดใช้ Gaming Mode ในเมนู Labs ก่อน เพื่อช่วยให้เสียงมีการดีเลย์น้อยที่สุด ซึ่งเท่าที่ลองเล่นเกมแนว FPS (First Person Shooter) ดูก็พบว่าเรากดยิงปืนเมื่อไหร่ เสียงก็แทบจะมาพร้อมกันทันที อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าไม่ดีเลย์นั่นเอง
 

ไม่ต้องกลัวหูฟังหาย ถูกใจคนขี้ลืม ด้วยระบบหาตำแหน่งหูฟัง

ส่วนตัวอาจจะไม่ใช่คนที่ขี้หลงขี้ลืมแต่อย่างใด แม้จะไม่เคยทำหูฟังหาย แต่ในอนาคตก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะหูฟังไร้สายเล็ก ๆ แบบนี้ก็มีโอกาสสูญหายได้ง่าย ซึ่งอีกหนึ่งข้อดีของ Galaxy Buds FE รุ่นนี้ก็คือรองรับการระบุตำแหน่งของหูฟังด้วยฟังก์ชัน Find My Earbuds ซึ่งจะทำงานด้วยแอปพลิเคชัน SmartThings อีกต่อหนึ่ง ดังนั้นหากเราเผลอลืมหูฟังไว้ที่ไหนก็ตาม เราก็ยังสามารถกดดูตำแหน่งของหูฟังได้ว่าอยู่ที่ไหน หรือในกรณีที่หูฟังถูกเก็บเอาไว้ในเคสชาร์จ ในแอปพลิเคชันจะแสดงตำแหน่งล่าสุดที่ใช้งานหูฟังให้ดู รวมทั้งสามารถระบุหูฟังแยกข้างซ้าย-ข้างขวาได้อีกด้วย

 

และในอีกกรณีก็คือหากเราเผลอวางหูฟังไว้ใกล้ ๆ แต่ลืมว่าวางไว้ตรงไหน เช่นตอนที่ใช้งานภายในบ้าน หรือที่ทำงาน เราก็สามารถกดสั่งให้หูฟังส่งเสียงร้องได้ ซึ่งก็จะทำให้เราได้ยินเสียง และตามทิศทางของเสียงไปจนเจอ

 

นอกจากนี้ก็ยังมีฟังก์ชันแจ้งเตือนเมื่อเราเผลอเดินออกห่างจากหูฟังมากเกินไป (Notify When Left Behind) ซึ่งเครื่องก็จะมองว่าเป็นการลืมนั่นเอง รวมทั้งมี Lost Mode เอาไว้ใส่ข้อมูลติดต่อในกรณีที่คนอื่นเก็บหูฟังของเราได้ และอยากส่งคืน

 

เรียกใช้ Bixby ง่าย ๆ ถามได้ตอบได้ อยากใช้ให้ทำอะไรก็สั่งเลย

อีกหนึ่งการนำเอาหูฟังไร้สายที่มีไมโครโฟนรับเสียงดี ๆ อย่าง Galaxy Buds FE มาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็คือการเรียกใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby ที่เราคุ้นเคยกันมานาน โดยก่อนใช้ก็ให้ไปเปิดการใช้งาน Bixby Voice เสียก่อน จากนั้นเราก็เพียงแค่พูดว่า “Hi, Bixby” เพื่อปลุกให้ Bixby ตื่น จากนั้นจะถามข้อมูล, ข่าวสารล่าสุด, สภาพอากาศ, หาเพลง, หาคลิปที่ชอบ, สั่งให้โทรออก, สั่งให้ส่งข้อความ หรืออื่น ๆ ก็พูดผ่าน Galaxy Buds FE ได้เลย

 

ราคาคุ้มค่าน่าซื้อ พร้อมโปรโมชันพิเศษให้คุ้มอีกต่อ

ข้อสุดท้ายที่ถูกใจที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องของราคา และโปรโมชันของ Galaxy Buds FE นั่นเอง เพราะด้วยราคาเพียงแค่ 3,390 บาท เมื่อเทียบกับความสามารถระดับนี้แล้วก็ถือว่าคุ้มค่า ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่มีมาให้ล้วนใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันส่วนลด 30% เมื่อซื้อ Galaxy Buds FE ร่วมกับสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต Samsung ตามรุ่นที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน 2566

โดย Galaxy Buds FE ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Graphite และ Mystic White ท่านใดที่สนใจก็สามารถสั่งซื้อได้แล้ววันนี้ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada หรือหน้าร้านที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ

และทั้งหมดนี้ก็คือบทสรุปความประทับใจ และประสบการณ์หลังจากที่มีโอกาสได้ใช้งาน Galaxy Buds FE รุ่นนี้มาร่วมสัปดาห์ โดยรวมแล้วถือเป็นหูฟังที่คุ้มค่าน่าใช้จากแบรนด์ชั้นนำที่เชื่อถือได้ เด่นที่การตัดเสียงรบกวน, แบตเตอรี่อึดทน, คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม และดีไซน์มินิมอลกะทัดรัดเข้ากับหู รวมทั้งเป็นหูฟังอันดับแรก ๆ ที่อยากแนะนำสำหรับใครที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายที่ดีเยี่ยมในระดับราคา 3-4 พันบาท สุดท้ายนี้ก็หวังว่าข้อมูลทั้งหมดข้างต้นจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังตัดสินใจซื้อ Galaxy Buds FE และถ้ามีโอกาสก็แวะไปลองสัมผัสตัวจริงกันดูก่อนได้ครับ สวัสดีครับ

 

สรุปคุณสมบัติเด่นของ Samsung Galaxy Buds FE

– น้ำหนักหูฟัง 5.6 กรัม (ต่อข้าง)
– น้ำหนักเคสชาร์จ 40 กรัม
– ขนาดหูฟัง 19.2×17.1×22.2 มิลลิเมตร
– ขนาดเคสชาร์จ 50.0×50.0x27.7 มิลลิเมตร
– หูฟังมีคุณสมบัติของการทนน้ำในระดับ IPX2
– มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก (Graphite และ Mystic White)
– ใช้ฝาเคสของ Galaxy Buds2, Buds2 Pro และ Buds Live ได้

———————————–

– ไมโครโฟน 3 ตัว (ต่อข้าง) (ไมค์หลัก, ไมค์รอง และไมค์ด้านใน)
– ลำโพงแบบ 1 ทิศทางรุ่นใหม่ (New 1-Way Speaker)
– ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation (ANC)
– ฟีเจอร์ AI-Powered Clear Call ด้วย DNN (Deep Neural Network) หรือ AI Learning
– โหมด Ambient Sound
– ฟีเจอร์ Auto Switch สำหรับสลับการเชื่อมต่อหูฟังไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบอัตโนมัติ
– ฟังก์ชัน Earbud Fit Test
– ปรับการรับเสียงรอบข้างได้ด้วยตนเอง (Customize Ambient Sound)
– ฟังก์ชัน Use Ambient Sound During Calls
– ปรับระดับเสียงตามรูปแบบของการใส่หูฟัง (Personalized Beamforming)
– เลือกรูปแบบของเสียงด้วยอีควอไลเซอร์ (Normal, Bass Boost, Soft, Dynamic, Clear และ Treble Boost)
– Gaming Mode สำหรับช่วยลดอาการเสียงดีเลย์ระหว่างการเล่นเกม

————————————

– แบตเตอรี่หูฟังความจุ 60 mAh
– แบตเตอรี่เคสชาร์จความจุ 479 mAh
– ใช้งานได้นานสูงสุด 30 ชั่วโมง (ปิดระบบ ANC : หูฟัง 8.5 ชั่วโมง + เคสชาร์จ 21.5 ชั่วโมง)
– ใช้งานได้นาน 21 ชั่วโมง (เปิดระบบ ANC : หูฟัง 6 ชั่วโมง + เคสชาร์จ 15 ชั่วโมง)

————————————

– ระบบสั่งงานด้วยการสัมผัส (แตะ 1 ครั้ง, แตะ 2 ครั้งติดกัน, แตะ 3 ครั้งติดกัน และแตะค้าง)
– ระบบติดตามตำแหน่งของหูฟัง (Find My Earbuds)
– เสียงเตือนเมื่อออกห่างจากหูฟัง (Notify When Left Behind)
– เชื่อมต่อแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2
– เซนเซอร์ Hall, Proximity และ Touch
– รองรับการใช้งาน Bixby
– อุปกรณ์ที่มาพร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน ได้แก่ หูฟัง, เคสชาร์จ, Ear tips (S, M, L), Wingtips (S/M, M/L), สาย USB-C to USB-C และคู่มือการใช้งานแบบด่วน
– ราคา 3,390 บาท

 

วันที่ : 20/10/2566