เจาะลึก Xiaomi 13 Ultra ยอดเรือธงกล้องเลนส์ Leica Summicron พร้อมปรับรูรับแสงหลายระดับ และจอสว่างที่สุดในโลก บนดีไซน์กล้องคลาสสิกสุดหรู

เจาะลึก Xiaomi 13 Ultra ยอดเรือธงกล้องเลนส์ Leica Summicron พร้อมปรับรูรับแสงหลายระดับ และจอสว่างที่สุดในโลก บนดีไซน์กล้องคลาสสิกสุดหรู

 

Xiaomi 13 Ultra เป็นยอดเรือธงตัวท็อปอีกรุ่นที่ทั่วโลกรอคอย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีข้อมูลหลุดออกมายั่วใจกันอย่างต่อเนื่อง เรียกว่ารอดูตัวจริงกันแทบไม่ไหว จนล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (18 เมษายน 2023) Xiaomi 13 Ultra ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วที่ประเทศจีน พร้อมเผยฟีเจอร์สุดแสนเซอร์ไพรส์หลายอย่าง โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านการถ่ายภาพระดับสูงสุดเท่าที่จะมีได้ในยุคนี้ ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกันกับแบรนด์กล้องระดับโลกอย่าง Leica ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้สรุปแบบเจาะลึกมาให้ชมกันแล้ว

 

แรกเห็นรูปโฉมภายนอกของ Xiaomi 13 Ultra นั้นต้องเรียกว่าโดดเด่นน่าประทับใจเลยทีเดียว ด้วยเอกลักษณ์ของมอดูลกล้องทรงกลมขนาดใหญ่พิเศษที่อยู่ตรงกลาง บนฐานของฝาหลังที่โค้งลาดเอียงไล่ระดับลงไป เรียกว่าดูสวยหรูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง พร้อมประทับโลโก้ LEICA ไว้แบบเด่น ๆ ซึ่งเป็นการบ่งบอกอย่างเจนว่า สุดยอดกล้องถ่ายภาพของ Xiaomi 13 Ultra นั้นเกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Xiaomi กับ Leica นั่นเอง

 

ส่วนฝาหลังก็หุ้มด้วยหนังเทียมชั้นดี เพื่อให้สอดรับกับดีไซน์แบบกล้องคลาสสิก โดยหนังเทียมนี้ผลิตขึ้นจากเทคโนโลยี 2nd Generation Nano-Tech Material ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ Anti-Bacterial Coating ที่สามารถป้องกันแบคทีเรียได้มากถึง 99%, ความทนทานพิเศษต่อการพกพา และรอยเปื้อน (Ultra Resistant to Wear and Dirt) และทนทานต่อรังสี UV พร้อมวัสดุที่ต้านทานการย่อยสลายได้ (Resistant to UV Rays with Anti-Degradation Material) ส่วนกรอบตัวเครื่องนั้นผลิตจากโลหะที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน (Unibody Metal Frame)

 

และไม่เพียงเลือกใช้วัสดุชั้นดีเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 อีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี ด้วยดีไซน์อลังการแบบนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยตัวเครื่องที่ค่อนข้างหนา และหนัก นั่นคือหนา 9.06 มิลลิเมตร กับน้ำหนักตัวที่ 227 กรัม

 

โดยสีไฮไลท์ของ Xiaomi 13 Ultra ก็คือสีเขียวมะกอก (Olive Green) และยังมีอีก 2 สีให้เลือกได้แก่สีดำ (Black) และสีขาว (White)

 

นอกจากนี้ ในเมื่อ Xiaomi 13 Ultra นั้นเกิดมาเพื่อการถ่ายภาพอย่างเต็มตัว ทาง Xiaomi จึงมีอุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเพื่อนักถ่ายภาพโดยเฉพาะ นั่นคือเคสที่มีมือจับ (Grip) กับปุ่มชัตเตอร์ และปุ่มซูมในตัว เพื่อการจับถือที่มั่นคงมากขึ้น คล้ายกับกล้องถ่ายภาพจริง ๆ รวมทั้งรองรับการเปลี่ยนฟิลเตอร์เหมือนกับกล้องจริง ๆ ได้อีกด้วย โดยรองรับฟิลเตอร์ขนาด 67 มิลลิเมตร เรียกว่าพอใส่แล้ว เวลาถือไปไหนมาไหน คนที่เดินผ่านมาก็คงจะเห็นเป็นกล้องมากกว่าเป็นสมาร์ตโฟน

มาถึงจุดขายสำคัญของ Xiaomi 13 Ultra บ้าง นั่นก็คือกล้องถ่ายภาพ ซึ่งถ้าเราจะเรียกว่าเป็นกล้องที่โทรได้ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะภาพรวมก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ที่สำคัญคือทาง Xiaomi เลือกแนวทางที่จะทำให้ไฟล์ภาพที่ได้จากกล้องของ Xiaomi 13 Ultra นั้นผ่านการโพรเซสให้น้อยที่สุด ให้ภาพออกมาใกล้เคียงกับกล้องจริง ๆ มากที่สุด ซึ่งต่างจากกล้องบนสมาร์ตโฟนในยุคนี้ที่พยายามใช้การโพรเซสภาพให้สวยคมที่สุด ซึ่งในบางครั้งอาจมากเกินไปจนดูไม่เป็นธรรมชาติ

 

โดยชุดกล้องที่ด้านหลังนั้นเป็นชุดกล้องแบบ 4 ตัว (Quad Camera) และกล้องทุกตัวมีความละเอียดมากถึง 50 ล้านพิกเซล ซึ่งกล้องแต่ละตัวประกอบไปด้วย

กล้อง Leica Main (Wide) ความละเอียด 50MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX989 ขนาด 1 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน (หรือ 3.2 ไมครอน ในแบบ 4-in-1 Pixel), รูรับแสงขนาด f1.9 กับ f4, ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร, ระบบโฟกัสแบบ 100% PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ HyperOIS และโครงสร้างแบบ 8 ชิ้นเลนส์

กล้อง Leica Ultra Wide ความละเอียด 50MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX858 ขนาด 1/2.51 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 12 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 122°), ระบบโฟกัสแบบ 100% PDAF, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 5 เซนติเมตร (Super Macro), โครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์ และการเคลือบแบบ ALD Coating

กล้อง Leica Telephoto ความละเอียด 50MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX858 ขนาด 1/2.51 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (3.2x Optical Zoom), ระบบโฟกัสแบบ 100% PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ และการเคลือบแบบ ALD Coating

กล้อง Leica Super Telephoto ความละเอียด 50MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX858 ขนาด 1/2.51 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f3.0, ทางยาวโฟกัส 120 มิลลิเมตร (5x Optical Zoom), ระบบโฟกัสแบบ 100% PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ (Periscope Structure)

 

ซึ่งจะเห็นว่ากล้องของ Xiaomi 13 Ultra นั้นจะเลือกใช้เซนเซอร์รับภาพใหม่ล่าสุดจาก Sony ให้มาทำงานร่วมกัน 2 ตัว เพื่อคุณภาพในระดับสูงสุด นั่นคือเซนเซอร์ IMX989 ในกล้อง Wide ที่เป็นเซนเซอร์ตัวเรือธงของ Sony ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1 นิ้ว กับเซนเซอร์ IMX858 ในอีก 3 กล้องที่เหลือ (Ultra Wide+Telephoto+Super Telephoto)

 

ต่อมาความพิเศษอีกอย่างของกล้องหลัก (Wide) ก็คือสามารถเลือกใช้รูรับแสง (Aperture) ได้ 2 ค่า (Variable Aperture) คือ f1.9 กับ f4.0 (แต่ปรับค่ารูรับแสงแบบละเอียดไม่ได้) ซึ่งทำให้เราสามารถใช้งานได้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นในเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) น้อย ๆ เช่นการถ่ายเส้นไฟในเวลากลางคืน เราก็เลือกใช้รูรับแสงให้แคบลงที่ f4.0 เพื่อให้ไม่เกิดอาการแสงเกิน (Over Exposure)

 

และแม้แต่กล้องตัวรองอย่างกล้อง Ultra Wide กับกล้อง Telephoto ก็มีรูรับแสงที่กว้างถึงระดับ f1.8 ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกล้อง Ultra Wide กับ Telephoto ที่มีรูรับแสงที่กว้างที่สุด ณ ปัจจุบัน ซึ่งตามข้อมูลคือสามารถรับแสงได้มากขึ้น 14% กับ 47% ตามลำดับ และแน่นอนว่าภาพที่ถ่ายออกมาจะมีมิติมากขึ้น แยกระยะชัดตื้นชัดลึกได้ดีกว่า เช่นหากเราถ่ายภาพ Portrait ด้วยกล้อง Telephoto ที่ระยะซูม 3.2x เราก็อาจละลายฉากหลังให้เบลอสวยได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งซอฟต์แวร์เสียด้วยซ้ำ

 

อีกทั้งด้วยกล้องทั้ง 4 ตัวนี้ จะช่วยให้เรามีระยะซูม หรือทางยาวโฟกัสหลัก ๆ ทั้งหมดถึง 6 ระยะด้วยกัน นั่นคือระยะ 0.5x (12 มิลลิเมตร) ด้วยกล้อง Ultra Wide, ระยะ 1x (23 มิลลิเมตร) กับ 2x (46 มิลลิเมตร) ด้วยกล้อง Wide, ระยะ 3.2x (75 มิลลิเมตร) ด้วยกล้อง Telephoto และระยะ 5x (120 มิลลิเมตร) กับ 10x (240 มิลลิเมตร) ด้วยกล้อง Super Teletphoto

รองรับการบันทึกภาพด้วยเทคโนโลยี DOL-HDR หรือ Digital Overlap HDR ด้วยอานิสงส์จากเซนเซอร์รับภาพ Sony นั่นเอง ซึ่งต่างจาก HDR ปกติที่จะใช้เทคนิคการถ่ายภาพหลาย ๆ ภาพแล้วนำมาซ้อนกัน ซึ่งอาจเกิดการซ้อนทับที่ผิดพลาดจนดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่สำหรับ DOL-HDR นั้นจะใช้เทคนิคของการเปิดรับแสงหลายระดับในคราวเดียว เพื่อให้สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นทั้งในส่วนที่มืด และส่วนที่สว่าง รวมทั้งสามารถเก็บรายละเอียดของสีได้กว้างขึ้นด้วย

 

มาพร้อมเทคโนโลยี Xiaomi Imaging Engine ที่ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงามทุกระยะทำการ ทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน (Ultra Night Mode), เทคโนโลยี Xiaomi ProFocus ที่ช่วยให้โฟกัสได้รวดเร็วแม่นยำในทุกทางยาวโฟกัส และเทคโนโลยีป้องกันการสั่นแบบ HyperOIS

 

มีโหมด Leica Professional Street Photography หรือ Fast Shot สำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีทในสไตล์กล้อง Leica ที่สามารถจับภาพได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 0.8 วินาที โดยสามารถปรับระยะโฟกัสได้ 4 ระยะ (AF, 0.6 เมตร, 1.2 เมตร และ 5 เมตร), มีทางยาวโฟกัสแบบคลาสสิกเป็นตัวเลือกเริ่มต้นนั่นคือระยะ 35 มิลลิเมตร แต่ก็สามารถเลือกใช้ทางยาวโฟกัสที่ 23 มิลลิเมตร กับ 46 มิลลิเมตร ได้ด้วยเช่นกัน และสามารถบันทึกค่าชดเชยแสง (EV) กับฟิลเตอร์ เอาไว้เรียกใช้แบบด่วน ๆ ในภายหลังได้

นอกจากนี้กล้องของ Xiaomi 13 Ultra ยังได้สืบทอดประสบการณ์จากกล้อง Leica มาอีกหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง Photographic Styles 2 รูปแบบ (Leica Vibrant และ Leica Authentic), Leica Custom Photographic Styles, Leica Filters, Leica Watermark และ Master-Lens System

 

รองรับการบันทึกไฟล์ภาพดิบแบบ 14-bit Ultra RAW (DNG) สำหรับการทำงานในระดับมืออาชีพ หรือสำหรับผู้ที่ต้องการนำภาพในปรับแต่งต่อแบบละเอียดในโปรแกรมต่าง ๆ เช่นโปรแกรมยอดนิยมในตระกูล Adobe อย่าง Photoshop หรือ Lightroom

 

แน่นอนว่าฮาร์ดแวร์สำคัญที่อยู่เบื้องหลังก็คือตัวเลนส์กล้องที่อยู่ภายในนั่นเอง ซึ่ง Xiaomi กับ Leica ตั้งใจพัฒนาชิ้นเลนส์อย่างพิถีพิถัน จนได้ชุดเลนส์กล้องชั้นเยี่ยมนามว่า Leica Vario-Summicron 1:1.8-3.0/12-120 ASPH ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติระดับสูงมากมาย ตั้งแต่ชุดเลนส์กล้องแบบ 8 ชิ้นเลนส์ประสิทธิภาพสูง แต่มีขนาดที่เล็กกะทัดรัด ในขณะที่ยังคงให้คุณภาพของภาพถ่ายที่ดีเยี่ยม, การดีไซน์แบบ Ultra High-Order Polynomial, ผลิตด้วยวัสดุแบบ Cyclic Olefin Copolymer (COC) พร้อมฟิลเตอร์แบบ Spin-Coated Infrared Light และเทคโนโลยีการเคลือบขอบเลนส์แบบ Lens Edge Ink รวมทั้งที่หน้าเลนส์ยังใช้การเคลือบแบบ High-Stability Coating ที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่หนาวสุดขั้ว หรือร้อนจัดได้โดยไม่เกิดความเสียหาย

 

ด้านความสามารถของการบันทึกวิดีโอนั้นก็นับว่าอยู่ในระดับหัวแถวเลยทีเดียว ด้วยการรองรับการบันทึกที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K (24fps) ในทุกทางยาวโฟกัส พร้อมรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR (10-bit) ที่ความละเอียดระดับ 4K (60fps) และรองรับการบันทึกวิดีโอด้วย 10-bit LOG Profile พร้อม Color Space แบบ Rec.2020 กับ LUT แบบ Rec.709 ที่ติดตั้งมาให้ในตัว เพื่อนำไฟล์ไปเกรดสีต่อ สำหรับการทำงานในระดับมืออาชีพ

ส่วนกล้องด้านหน้านั้นมีความละเอียดอยู่ที่ 32MP พร้อมเม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4 และทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร

แต่จุดที่น่าเสียอย่างหนึ่งก็คือกล้องหน้าสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดเพียงแค่ระดับ 1080P FHD (60fps) เท่านั้น ซึ่งในสมาร์ตโฟนที่มุ่งเน้นนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพเช่นนี้ ในส่วนของกล้องหน้าก็ควรจะบันทึกวิดีโอแบบ 4K ได้แล้ว

 

ต่อมาสำหรับจอแสดงผลของ Xiaomi 13 Ultra นั้นถือว่าไฮเอนด์จัดเต็มไม่แพ้เรือธงตัวท็อปคู่แข่งเลยก็ว่าได้ ด้วยจอขอบโค้งแบบ 3D-Curved OLED ขนาด 6.73 นิ้ว ที่มีความละเอียดมากถึงระดับ 2K (WQHD+ : 3200×1440 พิกเซล : 522 PPI) พร้อมเทคโนโลยีจอแสดงผลแบบ C7 LTPO3 ที่รองรับอัตราการรีเฟรชได้ต่ำสุดถึง 1Hz (AdaptiveSync Pro 1-120Hz), ความสว่างสูงสุดถึง 2600 nits ซึ่งถือว่าสูงสุดในบรรดาสมาร์ตโฟนปัจจุบัน, ปรับระดับความสว่างได้ 1920 ระดับ (DC Dimming), รองรับการแสดงผลถึง 68 พันล้านสี, รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10/HDR10+/Dolby Vision, มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วแบบฝังใต้หน้าจอ และครอบทับด้วยกระจกนิรภัยรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Corning Gorilla Glass Victus

 

ด้านการประมวลผลก็เลือกใช้ชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุดในฝั่งของ Android ขณะนี้อย่าง Snapdragon 8 Gen 2 และมาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB/16GB และหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาด 256GB/512GB/1TB

 

เรื่องความร้อนขณะใช้งานก็คงไม่ต้องกังวลนัก เพราะมีระบบระบายความร้อนแบบใหม่ที่เรียกว่า Loop LiquidCool ซึ่งใช้เทคนิคการระบายความร้อนแบบ Toroidal Cooling เช่นเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งระบายความร้อนได้ดีกว่าระบบ VCs (Vapor Chamber Cooling) แบบเดิม ๆ ถึง 3 เท่าตัว

 

ใช้พอร์ตเชื่อมต่อความเร็วสูงแบบ USB 3.2 Gen 1 ซึ่งถ่ายโอนข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 5Gbps

 

แบตเตอรี่ที่ใส่มาให้นั้นมีความจุอยู่ที่ 5000 mAh ซึ่งก็ถือว่าใหญ่สมตัว พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 90W Turbo Charging กับ 50W Wireless Turbo Charging รวมทั้งรองรับการแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นผ่านทางฟีเจอร์ 10W Reverse Wireless Charging

 

ชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจด้วยระบบป้องกันไฟกระชาก Xiaomi Surge Battery Management System ซึ่งมาพร้อมชิป Surge P1 กับ Surge G1 ที่ช่วยทั้งเรื่องความปลอดภัย และช่วยรักษาอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ในเวลาเดียวกัน

 

มีโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุดอย่าง Hibernation Mode ที่แม้จะเหลือแบตเตอรี่เพียงแค่ 1% ก็ยังสามารถสแตนด์บายได้ 60 นาที และสนทนาได้ 12 นาที

 

ส่วนความน่าสนใจอื่น ๆ ก็คือมาพร้อมกับลำโพงแบบคู่ ที่รองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos กับรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res) และการรองรับ Dual 5GHz Wi-Fi

และทั้งหมดข้างต้นก็คือข้อมูลแบบเจาะลึกหลังการเปิดตัวของ Xiaomi 13 Ultra ที่เรานำมาสรุปให้ทุกท่านได้ทราบกัน และแน่นอนว่านี่เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่ทีมงาน Thaimobilecenter รอคอยจะได้สัมผัสกับตัวจริงเสียงจริงเป็นพิเศษ ว่าจะใช้งานจริงได้ดี หรือน่าประทับใจแค่ไหน ซึ่งหากเครื่อง Xiaomi 13 Ultra มาถึงมือเมื่อไหร่ เราก็จะนำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันอีกครั้งอย่างแน่นอน

 

สำหรับราคาเปิดตัวของ Xiaomi 13 Ultra ในประเทศจีนนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย 3 ราคาดังนี้

Xiaomi 13 Ultra รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 5,999 หยวน หรือราว 29,900 บาท
Xiaomi 13 Ultra รุ่น RAM 16GB+ROM 512GB ราคา 6,499 หยวน หรือราว 32,400 บาท
Xiaomi 13 Ultra รุ่น RAM 16GB+ROM 1TB ราคา 7,299 หยวน หรือราว 36,400 บาท

โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2023 นี้เป็นต้นไป และข่าวดีก็คือ การมาของ Xiaomi 13 Ultra ครั้งนี้นั้นไม่ได้จำกัดการจำหน่ายเฉพาะที่ประเทศจีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีแผนที่จะวางจำหน่ายไปทั่วโลก (Global) ซึ่งก็นับเป็นสัญญาณที่ดี เพราะอย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วทาง Xiaomi Thailand จะนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราด้วยจริงไม่ หากมีข้อมูลเมื่อไหร่เราก็นำมาอัปเดตให้ทุกท่านได้ทราบกันอีกครั้ง

 

 

บทความโดย : thaimobilecenter.com

 

วันที่ : 19/4/2566